“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นสโมสรแรกที่ผงาดคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 4 ฤดูกาลติดต่อกัน

โดย ซิตี้ ที่นัดสุดท้ายเปิดรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม เอาชนะ เวสต์แฮม 3-1 ทำให้ทัพ “เรือใบสีฟ้า” ทำคะแนนไปถึง 91 คะแนน จากการแข่ง 38 นัด ชนะ 28 เสมอ 7 แพ้ 3ยิงได้ 96 ประตู เสีย 34 ประตู เบียด “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ไปได้ 2 คะแนนอีกทั้งยังสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกในเกาะอังกฤษที่สามารถคว้าแชมป์ได้ 4 สมัยติดต่อกัน แซงหน้า ฮัดเดอร์สฟิลด์,อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสามปีติดต่อกัน นับเป็นทีมแรกตั้งแต่ลีกอังกฤษก่อตั้งขึ้นในปี 1888 หรือ 136 ปีที่แล้ว

นอกจากนี้ ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 6 ร่วมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ นับเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 4 ที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษได้มากถึง 6 สมัย ถัดจากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, จอร์จ แรมซีย์ และบ็อบ เพสลีย์

ภายหลังเกม เป๊ป เผยถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า “ตอนที่ผมมาที่นี่หากบางคนบอกว่า ผมสามารถคว้าแชมป์ลีก 6 ครั้ง จาก 7 ฤดูกาล ผมคงจะบอกว่าคุณบ้าไปแล้ว ไม่มีทางเลย กับนักเตะทั้งหมดเหล่านี้สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล และ เชลซี ทุกทีมเหล่านี้ ตอนนี้คือช่วงเวลาของเรา และเราเป็นส่วนของสิ่งนั้น”

ส่วนเรื่องความคิดเรื่องแชมป์4 สมัยติดเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ เจ้าตัวเผยว่า “ไม่ได้คิดเลยในตอนแรก แต่ในเดือนมกราคม, กุมภาพันธ์ ผมพูดว่ามันเคยมีใครทำมันมาก่อน แล้วทำไมจะไม่ล่ะ? จากประสบการณ์ในอดีต เราคิดเกี่ยวกับแชมป์ในช่วง 2 เดือนสุดท้าย ในช่วง พฤศจิกายน และ ธันวาคม มันไม่ใช่เรื่องดีที่จะคิดถึงมัน”

อย่างไรก็ตามมีเรื่องให้แฟน ซิติเซนส์ กังวลเล็กน้อยเมื่อ กุนซือชาวสแปนิชเผยว่าเขาอาจจะอำลาทีมหลังสัญญาในฤดูกาลหน้าจบลง “ความจริงแล้วผมก็อยู่ใกล้กับการบอกลามากกว่าการอยู่ต่อนี่ก็ 8 ปีแล้วกำลังเข้าสู่ปีที่ 9 แต่ตอนนี้ความรู้สึกของผมคือต้องการอยู่ที่นี่ต่อไปในฤดูกาลหน้า เราได้พูดคุยกันในสโมสร และใช่ผมเลือกที่จะอยู่ต่อ ในระหว่างฤดูกาลเรายังมีเวลาได้พูดคุย (ถึงเรื่องอนาคต) และจะได้เห็นกัน”

ทั้งนี้ ภารกิจของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่ากับแมนฯซิตี้ ในฤดูกาลนี้ยังไม่เสร็จสิ้น เพราะในวันที่ 25 พฤษภาคม พวกเขาจะตั้งเป้าที่จะกลายเป็นทีมแรกที่คว้าดับเบิ้ลแชมป์ในประเทศได้สำเร็จ 2 ฤดูกาลติดต่อกันโดยจะเผชิญหน้ากับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศที่นิว เวมบลีย์

อนึ่ง นับเป็นเวลา 15 เดือนแล้วที่ซิตี้ ถูกตั้งข้อหาในพรีเมียร์ลีก 115 คดีจากข้อกล่าวหาเรื่องความผิดปกติทางการเงิน ซึ่งพวกเขาปฏิเสธ ขณะเดียวกันทั้งเอฟเวอร์ตัน และน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ถูกตั้งข้อหาพร้อมกับถูกหักคะแนนจากการละเมิดกฎผลกำไรและความยั่งยืน แต่ยังไม่มีการอัปเดตว่าคดีของซิตี้จะได้รับการพิจารณาเมื่อใด

บทสรุปการแข่งขัน

แชมป์ : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 38 เกม ชนะ 28 เสมอ 7 แพ้ 3 เก็บได้ 91 คะแนน

ยิง 96 เสีย 34 ประตู

โควตาฟุตบอลยุโรป

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : แมนฯซิตี้, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล และ แอสตัน วิลล่า

ยูโรป้า ลีก : ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ เชลซี (ยังไม่ชัวร์)

ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก : นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (ยังไม่ชัวร์)

ตกชั้น : เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, เบิร์นลี่ย์ และ ลูตัน ทาวน์

เลื่อนชั้น : เลสเตอร์ ซิตี้, อิปสวิช ทาวน์ และลีดส์ ยูไนเต็ด หรือ เซาแธมป์ตัน

(รอผลเพลย์ออฟสัปดาห์หน้า)

ดาวซัลโว : เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาลันด์ (แมนฯซิตี้) 27 ประตู

แอสซิสต์ : โอลลี่ วัตกิ้นส์ (แอสตัน วิลล่า) 13 ครั้ง

คลีนชีต : ดาบิด ราย่า (อาร์เซน่อล) 16 เกม

นักเตะยอดเยี่ยม : ฟิล โฟเด้น (แมนฯซิตี้) 19 ประตู 8 แอสซิสต์

ดาวรุ่งยอดเยี่ยม : โคล พัลเมอร์ (เชลซี) 22 ประตู 11 แอสซิสต์

(สำหรับ แมนฯยูไนเต็ด ที่จบอันดับ 8 ของตาราง แต่ยังความหวังไปเล่นฟุตบอลยูโรป้า ลีก หากพวกเขาสามารถเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ในวันที่ 25 พฤษภาคม ถ้าเกิดขึ้นจริงจะส่ง เชลซี ลงไปเล่น คอนเฟอเรนซ์ ลีกส่วน นิวคาสเซิ่ล ที่จบอันดับ 7 จะอดไปเล่นฟุตบอลยุโรป)