เกมยูโรระหว่าง สโลวีเนีย กับ เซอร์เบีย เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเราสามารถสัมผัสได้หลายมุม
ความดุเดือด เลือดเย็น และเปี่ยมไปด้วยรากฝังลึก.......เหตุผลทางประวัติศาสตร์นั้นน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าเรื่องราวของชีวิต
ปี 1992 สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า ก็รอคอยประเทศยูโกสลาเวีย จนหยดสุดท้าย กระทั่งลงมติกันว่า ตัดสิทธิ์เข้าร่วมตามคำสั่งของสหประชาชาติ 10 วัน ก่อนการแข่งขัน
อันเนื่องมาจากสงครามแบ่งแยกดินแดน แล้วจากนั้นคำว่า “ยูโกสลาเวีย” ค่อยๆ มลายหายไปจากโลกใบนี้
พร้อมกับทำให้เกิด “เทพนิยายเดนส์” เดนมาร์กปี 1992 ที่มาเป็น “บอลแทน” ของพวกสลาฟ และได้แชมป์หน้าตาเฉย
.....ความเดิมภายหลังสงครามโลก ครั้งที่ 1 ปี 1918 คือ ราชอาณาจักรแห่งสโลวีน โครแอต และเซิร์บ กลายมาเป็น“ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย” อันโด่งดัง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย
ด้วยระบบสังคมนิยมกึ่งทุนนิยมของพวกเขานั้น ก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบ หรือเป็นที่ต้องการเท่าไหร่กับพี่เอื้อยใหญ่อย่าง สหภาพโซเวียต
ในครานั้น สาธารณรัฐ 2 แห่งของยูโกสลาเวีย คือ สลาโวเนีย(สโลวีเนีย) และโครเอเชีย เริ่มประกาศอิสรภาพ ตามติดมาด้วย สาธารณรัฐบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ที่ประกาศว่า ต้องการเอกราชแยกตัวออกจากรัฐบาลกลางของยูโกสลาเวีย
กลับกัน สาธารณรัฐเซอร์เบีย มีความประสงค์ที่จะให้ทุกสาธารณรัฐยังเป็น “ประเทศยูโกสลาเวีย” ต่อไปและสืบไป
ลงเอยไม่สวย และได้บานปลายกลายเป็น “สงคราม” ระหว่างเซอร์เบียกับสาธารณรัฐเหล่านั้น ค.ศ.1992 ทั้งที่เป็นปึกแผ่นมากว่า 70 ปี
1.เซิร์บ, 2.บอสเนีย และ 3.โครแอต
มุมสำคัญนั่นก็คือ เราสามารถมองได้เลยว่านี่คือ “สงครามแห่งศาสนา” ก็ว่าได้เหมือนกัน เนื่องจาก ชาวเซิร์บ เป็นโปรเตสแตนท์, พวกโครแอต เป็น คาทอลิก และบอสเนีย รวมถึง โคโซโว คือ มุสลิม เป็นต้น
แน่นอนว่า ทุกอย่างได้ส่งผลให้สงครามมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากๆ เพราะเป็นการปะทะกันระหว่าง เซิร์บ กับฝ่ายหนึ่งของโครแอต และฝ่ายหนึ่งของบอสเนีย
อีกทางหนึ่งก็เป็นการสู้กันของพวกบอสนิค กับ โครแอตในบอสเนีย แถมกลุ่มบอสนิคก็ทะเลาะกันเองในบอสเนียอีกต่างหาก
ท้ายที่สุด 6 สาธารณรัฐของยูโกสลาเวีย ประกอบด้วย บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา, สโลวีเนีย, โครเอเชีย, เซอร์เบีย,มอนเตเนโกร และมาซิโดเนีย แยกตัวออกมา รวมไปถึงมณฑลอิสระอย่าง โคโซโวและวอยโวดีนา ซึ่งเป็นมณฑลปกครองตนเอง
เท่ากับว่า นับจากโซเวียตล่มสลาย พวกเขาก็สู้กันเองกินระยะเวลานานตั้งแต่ปี 1991-1999 เลยทีเดียว
ที่ผ่านมานั้น ดินแดนสลาฟ มีผู้นำที่มีความสามารถในการปกครองและผสานความเป็นสมานฉันท์ระหว่างเชื้อชาติ คือ พลเอกโยซิป บรอซ ตีโต้ ถึงแม้ความขัดแย้งทางเชื้อชาติจะมี แต่ก็น้อยมาก
แต่เมื่อผู้นำตีโต้ ถึงแก่กรรม ผู้นำที่ขึ้นมาสืบทอดตำแหน่ง คือ สโลโบดาน มิโลเซวิช เป็นพวกหัวรุนแรง ทำให้ก่อชนวนปัญหาเชื้อชาติเกิดขึ้นมาอีกครั้ง พอดีจังหวะกับที่ ระบบคอมมิวนิสต์ในรัสเซียล่มสลายในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 พอดี
ทำให้ก่อเกิดสาธารณรัฐที่ต้องการแยกเป็นอิสระ
ยูโกสลาเวีย เริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ในช่วงปี 1990 ค่อยๆ แบ่งออกมาเป็นประเทศต่างๆ เป็น นั่นคือ โครเอเชีย วันที่ 25 มิถุนายน 1991, สโลวีเนีย วันที่ 25 มิถุนายน 1991 บอสเนีย และเฮอร์เซโกวีนา วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 1992,เซอร์เบีย และมอนเตเนโกร วันที่ 17เมษายน 1992 และ มาซิโดเนีย วันที่ 8 กันยายน 1991 ก่อนจะได้รับการรับรองในปี 1994
จากนั้น มอนเตเนโกร แยกจาก เซอร์เบีย ได้รับเอกราช เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2006
สายเลือด, เชื้อชาติ มันเป็นสิ่งที่ฟาดฟันกันมา เป็นเรื่องเปราะบาง และละเอียดอ่อน ที่ผ่านมา เรามักจะเห็นหลายชาติที่ไม่ได้มีชื่อในข้างต้น ใช้การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์มากมาย อาทิ สวิตเซอร์แลนด์, แอลเบเนีย
บางคนไม่เข้าใจบอกว่า อย่าเอาผสมปนกันระหว่างกีฬากับการเมือง แต่ถ้าคุณ “เข้าใจฟุตบอล” คุณก็จะ “เข้าใจชีวิต”
มันไม่เคยแยกออกจากกันได้เลย
แม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่เคย........
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี