ยูโร ครั้งที่ 17 เดินทางมาถึงรอบที่ไม่มีสิทธิ์แก้ตัวอะไรอีกต่อไป
แฟนบอลก็จะไม่มีสิทธิ์แก้ไขอะไรอีกต่อไปนะครับ ถ้าไม่ได้ดูการถ่ายทอดสด
เพราะทีมท่านรักอาจจะเตะเป็นนัดสุดท้ายวันไหนก็ไม่รู้
รอบนี้เตะสี่วันติดต่อกัน คู่แรกแข่งขันเวลา 23.00 น. และคู่ที่สองจะแข่งขันเวลาตี 2 ถ้าเสมอกันจะต้องต่อเวลาพิเศษออกไปถ้ายังเสมอกันอีกก็ต้องดวลจุดโทษตัดสิน
เป็นความบังเอิญแบบพอดีที่ “แชมป์เก่า” และ “เจ้าภาพ” จะลงสนามในวันเดียวกัน
อิตาลี แชมป์เก่า จะลงสนามก่อนเจอกับ สวิตเซอร์แลนด์ ถือว่าเป็นงานที่ค่อนข้างที่จะเข้มข้นเลยทีเดียวจะบอกว่ายากก็คงไม่ใช่จะบอกว่าง่ายนี่เลิกคิดไปได้เลย
แม้สถิติจะขี่มิดว่า 30 ปี อิตาลี จะไม่เคยแพ้ สวิส มาก่อนก็ตาม
ทั้งสองทีมดินแดนติดกัน วิธีการก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ เป็นฟุตบอลที่เหนียวแน่นแข็งแกร่ง แต่เรื่องของการผลิตประตูก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เพราะฉะนั้นคู่นี้ถือว่าสูสีมากอยู่ที่การวางตัวของอิตาลี
สองเกมแรกพวกเขาเล่นรับแบบ “ไลน์โฟร์” แต่เกมล่าสุดเล่น “แบ๊กทรี” แล้วค่อยๆ เปลี่ยนตัวลงไปจนได้ประตูสำคัญเกือบจะตกรอบ
แต่เอาเข้าจริงการเล่น “ไลน์โฟร์” มันดูเหมาะสมและเป็นธรรมชาติกับผู้เล่นชุดนี้มากกว่า
น่าสนใจก็คือสนามแห่งนี้เป็นสนามที่อิตาลีได้แชมป์ฟุตบอลโลกเมื่อปี 2006
ขณะที่ เยอรมนี กับประตูที่เกิดขึ้นในรอบแรกนัดสุดท้ายจนได้แต้มยึดแชมป์กลุ่มนั้น ไม่ใช่แค่ความสำคัญในการได้หนึ่งคะแนนทำให้พวกเขาเป็นแชมป์กลุ่ม แต่มันส่งผลให้ความกดดันลดลงไปเยอะ พร้อมกับเพิ่มความมั่นใจ เพราะไม่ต้องรูดไปเป็นที่ 2
เยอรมนี อาจจะยิงได้เยอะสุด แต่มีจุดอ่อนอยู่บนจุดแข็งของตัวเองนั่นแหละ คือพื้นที่ครึ่งล่างทางซ้าย
ตรงนั้นคือช่องว่างระหว่าง มักซิมิเลี่ยน มิตเทลสตัดท์ กับ โทนี่ โครส
อีกทั้งการ “ยืนตำแหน่งในเกมรับ” น่าสนใจมาก เมื่อโยนาธาน ทาห์ ติดแบน จะเสียหายขนาดไหน
เนื่องจากวิธีการของเยอรมนีชุดนี้ลงตัวจากระบบการเล่นของ เลเวอร์คูเซ่น คือลงสนาม 4-2-3-1 แต่พอเล่นเกมจะเป็น 3-4-2-1
ทาห์ ขยับฉากออกมาทางขวาของตัวเอง, โครส ถอยหลังลงมาทางซ้ายของตัวเอง และอันโตนิโอ รือดิเกอร์ ขยับออกมาทางขวาของตัวเอง
ประเด็นคือ นิโก้ ชล็อตเตอร์เบ็ค ที่จะลงแทน ทาห์ ไม่เคยเล่นระบบนี้หรือถ้าเล่นเค้าไม่เคยถูกขยับฉากขวาเข้ามาเป็นปราการหลังตัวกลางในช่วงที่ บิลด์อัพ เพลย์
ขณะที่ เดนมาร์ก เป็นทีมที่ยากต่อการเข้าใจเพราะเตะกับใครก็สูสีไปหมด
เตะกับ สโลวีเนีย ก็สูสี, สู้กับ อังกฤษ ก็สูสีมาก และมาเล่นกับ เซอร์เบีย ก็สูสีแบบสุดๆ
สถิติเก่าอะไรก็แล้วแต่ มันถูกให้สมองของคนดูบอลส่งไปที่ เดนมาร์ก โชว์เทพนิยายเดนส์ ด้วยการปราบ เยอรมนียุครวมชาติยุคแรกหลังจบสงครามเย็น และทุบกำแพงเบอร์ลิน ไป 2-0 ในนัดชิงยูโร 1992 ณ สมรภูมิโกเตนเบิร์ก
อย่างไรก็ตาม นาทีนี้ไม่ต้องไปสนใจกับ “ภาพหลอน” มันอยู่ที่เรื่องของ “ภาพรวม” ที่เหนือกว่าทุกกระบวนยุทธ์
เอาเข้าจริงถ้าเข้าใจในแท็กติกของตัวเอง และไม่ฝืนตัวเองที่พลิกแพลงยุทธวิธีมากจนเกินไป
เยอรมนี กับ อิตาลี ไม่ควรพลาดด้วยการสะดุดขาของตัวเอง
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี