“Doping” ในภาษาไทยหมายถึงการใช้สารต้องห้ามหรือการใช้สารกระตุ้น โดยเฉพาะในกีฬาหมายถึงการใช้ยาหรือสารที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นกีฬารวมทั้งวิธีต้องห้ามที่บดบังการพบสารหรือเมตาบอไลต์ของสารต้องห้าม ซึ่งถือเป็นการโกงและผิดกฎของการแข่งขันกีฬา โดยมีการควบคุมอย่างเข้มงวดจากองค์กรกีฬาในระดับนานาชาติ WADA (world anti-doping agency)
โดยเกณฑ์สำหรับสารต้องห้าม ตามที่กำหนดโดย WADA (องค์การต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก) โดยทั่วไปมีดังนี้
1. เพิ่มประสิทธิภาพการกีฬา: สารหรือวิธีการนั้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันกีฬา
2. ความเสี่ยงต่อสุขภาพ: สารนั้นมีความเสี่ยงต่อสุขภาพของนักกีฬา
3. การละเมิดจิตวิญญาณของกีฬา (spirit of sport): การใช้สารนั้นถือว่าเป็นการขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมและจิตวิญญาณของการแข่งขันที่เป็นธรรมในกีฬา
โดยเกณฑ์เหล่านี้ช่วยกำหนดว่าสารหรือวิธีการใดควรอยู่ในรายชื่อสารต้องห้าม ซึ่งจะมีการปรับปรุงทุกปีผลเสียของการใช้สารกระตุ้นมีหลายด้าน ได้แก่
1. ผลกระทบต่อสุขภาพ: สารกระตุ้นอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, และความผิดปกติของระบบประสาท
2. ผลกระทบทางจิตใจ: การใช้สารกระตุ้นอาจทำให้เกิดอาการวิตกกังวล, ซึมเศร้า, หรือการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม
3. ผลกระทบต่อชื่อเสียง: นักกีฬาที่ถูกจับได้ว่าฉีดสารกระตุ้นมักจะเสียชื่อเสียงและได้รับการลงโทษจากสมาคมกีฬาการใช้สารกระตุ้นจึงเป็นเรื่องที่มีผลเสียมากมายทั้งต่อบุคคล, ประเทศชาติและวงการกีฬาโดยรวม
ในชีวิตจริงยังคงมี “TUE” หรือ “Therapeutic Use Exemption” คือ การยกเว้นการใช้สารต้องห้ามในกรณีที่นักกีฬามีอาการเจ็บป่วยหรือโรคที่ต้องใช้สารนั้นเพื่อการรักษา โดยนักกีฬาต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น WADA หรือองค์กรกีฬาแห่งชาติ เพื่อให้ได้รับ TUE นักกีฬาต้อง
1. แสดงหลักฐานทางการแพทย์ ต้องมีเอกสารยืนยันจากแพทย์เกี่ยวกับอาการและความจำเป็นในการใช้สารนั้น
2. ต้องใช้ในปริมาณที่จำเป็น เพื่อตอบสนองความต้องการในการรักษา ไม่ใช่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ แข่งขัน
3. ไม่มีทางเลือกในการรักษาอื่นใดมาทดแทนได้
TUE ช่วยให้นักกีฬาสามารถรักษาสุขภาพของตนได้โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการถูกลงโทษในกรณีที่ใช้สารต้องห้ามเพื่อการรักษา โดยแพทย์ที่ทำการรักษาต้องกรอกแบบฟอร์ม พร้อมใบรับรองแพทย์ ไปที่สำนักงานควบคุมการใช่สารต้องห้ามทางการกีฬาก่อนการแข่งขันอย่างน้อย 30 วัน
และในกรณี”Retroactive Therapeutic Use Exemption” (TUE) หมายถึงการขอรับการยกเว้นย้อนหลัง หลังจากที่นักกีฬาได้ใช้สารต้องห้ามไปแล้ว โดยต้องมีหลักฐานหรือเหตุผลที่ชัดเจนว่าการใช้สารนั้นจำเป็นจริงๆ หากได้รับอนุมัติ จะสามารถป้องกันไม่ให้นักกีฬาโดนแบนหรือถูกลงโทษจากการใช้สารต้องห้ามในช่วงเวลาดังกล่าว
โดยในการใช้สารต้องห้ามของนักกีฬา หรือเรียกว่า “Athlete Supporting Personnel” หมายถึง บุคคลหรือทีมงาน เช่น โค้ช, แพทย์, นักกายภาพบำบัด, นักโภชนาการและผู้ปกครอง ที่สนับสนุนและช่วยเหลือนักกีฬาในการเตรียมตัวและการฝึกซ้อม เพื่อให้สามารถแสดงศักยภาพสูงสุดในกีฬา บุคคลกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในบริบทของการใช้สารต้องห้ามในกีฬา ทั้งในการให้ความรู้แก่นักกีฬาเกี่ยวกับอันตรายและผลกระทบจากการใช้สารต้องห้าม รวมถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพและโทษที่อาจเกิดขึ้น มีการติดตามนักกีฬาเพื่อสังเกตอาการที่อาจแสดงถึงการใช้สาร และให้คำแนะนำในการรักษาสิ่งแวดล้อมทางกีฬาให้ปราศจากสารต้องห้าม โค้ชและนักโภชนาการสามารถให้คำแนะนำด้านอาหารที่เหมาะสมเพื่อช่วยนักกีฬาเพิ่มประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพึ่งพาสารต้องห้าม มีการสนับสนุนทางจิตใจสามารถช่วยนักกีฬาให้รับมือกับแรงกดดันในการแข่งขัน ลดความอยากใช้ยาที่เพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนั้นบุคลากรสนับสนุนมีหน้าที่ในการปลูกฝังค่านิยมจริยธรรมที่แข็งแกร่งในนักกีฬา ส่งเสริมความซื่อสัตย์และการเล่นอย่างยุติธรรม และ พวกเขามักอยู่ในตำแหน่งที่สามารถรายงานพฤติกรรมที่น่าสงสัยหรือการละเมิดการใช้สารต้องห้าม ช่วยสร้างวัฒนธรรมที่มีความรับผิดชอบ โดยการส่งเสริมวัฒนธรรมการกีฬาอย่างสะอาด บุคลากรสนับสนุนสามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและการกระทำของนักกีฬาเกี่ยวกับการใช้สารต้องห้ามอย่างมีนัยสำคัญ
โดยในการตรวจสอบสารต้องห้ามในแต่ละครั้งจะใช้หลักการ “Strict liability” ซึ่งหมายถึง หลักการทางกฎหมายที่กำหนดให้บุคคลต้องรับผิดชอบต่อการกระทำหรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องพิสูจน์ว่ามีความผิดหรือความตั้งใจในการกระทำ ซึ่งในบริบทของกีฬา ระบบนี้ใช้สำหรับกรณีการใช้สารต้องห้าม (doping) ที่นักกีฬาจะต้องรับผิดชอบต่อสารที่พบในร่างกายของตน แม้ว่าจะไม่มีเจตนาที่จะใช้สารนั้นหรือไม่ทราบว่ามีการใช้สารนั้น หลักการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรับผิดชอบและความยุติธรรมในกีฬา โดยทำให้นักกีฬาต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายของตนเอง โดยต้องระมัดระวังในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรืออาหารเสริมต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยง
การใช้สารต้องห้าม
การใช้สารต้องห้ามในนักกีฬาเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งด้านสุขภาพ จริยธรรม และความยุติธรรมในวงการกีฬา แม้การใช้สารเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นทางเลือกในการเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ผลที่ตามมานั้นอาจรุนแรงและยั่งยืนมากกว่าผลลัพธ์ที่ต้องการ การสร้างวัฒนธรรมการกีฬาอย่างสะอาดและปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ นักกีฬา, โค้ช, และบุคลากรสนับสนุนจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อให้ความรู้และส่งเสริมค่านิยมที่ถูกต้องในการแข่งขัน การสนับสนุนทั้งทางจิตใจและโภชนาการสามารถช่วยนักกีฬาให้ยืนหยัดในเส้นทางที่ถูกต้อง โดยไม่ต้องพึ่งพาสารต้องห้าม ด้วยการพัฒนามาตรฐานจริยธรรมและการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเล่นอย่างยุติธรรม เราสามารถสร้างอนาคตของกีฬาให้มีคุณภาพและปลอดภัยสำหรับนักกีฬาและผู้ชมทุกคนได้อย่างยั่งยืน
โดย นายแพทย์ณภัทร จันทรพิทักษ์
แพทย์ประจำบ้าน ภาควิชาออร์โธปิดิกส์
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี