ตลอดสัปดาห์ที่แสนวุ่นวายมีเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่หนึ่งมุมที่น่าสนใจมาก
ศาลยุติธรรมแห่งยุโรป (ECJ) ได้ตัดสินว่า กฎของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า บางข้อเกี่ยวกับการย้ายผู้เล่นนั้นขัดต่อกฎหมายของยุโรป ซึ่งอาจทำให้ตลาดซื้อ-ขาย นักเตะต้องเปลี่ยนแปลงไปนั่นคือ กฎของฟีฟ่าเกี่ยวกับสถานะและการย้ายผู้เล่น (RSTP)
ในลักษณะเดียวกับคำตัดสินคดีของบอสแมน(Bosman ruling) ที่ถือเป็นประวัติศาสตร์ในช่วงทศวรรษ 1990
คดีนี้เกี่ยวข้องกับอดีตนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส นั่นคือ ลาสซานาดิยาร์รา ซึ่งขัดแย้งกับฟีฟ่าหลังจากสัญญาของเขากับโลโคโมทีฟ มอสโกถูกยกเลิกไปในปี 2014
ดิยาร์รา กองกลางตัวรับชาวฝรั่งเศส เคยเล่นให้กับเรอัล มาดริด เป็นเวลา 3 ปี ลงเล่นให้กับสโมสรมากกว่า 80 นัด นอกจากนี้ เขายังเคยเล่นให้กับเชลซี, อาร์เซน่อล และปารีส-แซงต์ แชร์กแมง รวมถึงทีมอื่นๆ อีกมากมาย และลงเล่นให้กับทีมชาติฝรั่งเศส ไปถึง 34 นัด
เมื่อ 10 ปีก่อน หลังจากที่ดิยาร์รา เป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมมาเป็นเวลา 1 ปี โลโคโมทีฟ ก็ลดค่าจ้างของเขาลงอย่างมาก และดิยาร์ราก็ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการฝึกซ้อม เขาพยายามเซ็นสัญญากับสโมสรอื่นๆ ในยุโรป แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
โลโคโมทีฟ เรียกร้องค่าชดเชยประมาณ 20 ล้านยูโรจากการละเมิดสัญญา แต่ ดิยาร์ร่าเรียกร้อง 6 ล้านยูโรจาก ฟีฟ่า โดยให้เหตุผลว่า กฎการย้ายทีมทำให้เขาไม่สามารถเล่นฟุตบอลอาชีพได้ตลอดฤดูกาล 2014-2015
มีสโมสรที่สนใจตัวเขา อาทิ ชาร์เลอรัว ทีมจากเบลเยียม ก่อนจะตัดสินใจไม่เซ็นสัญญากับนักเตะรายนี้เนื่องจากมีเรื่องค่าชดเชยพัวพันกันไป-มา
หลังจากไม่ได้ลงเล่นมา 1 ปี ดิยาร์ร่า ก็ย้ายไปอยู่กับ โอลิมปิก มาร์กเซย ในฝรั่งเศส แบบไร้ค่าตัว อย่างไรก็ตาม ในปี 2016 ฟีฟ่า ประกาศว่า ดิยาร์ร่า ต้องจ่ายเงิน 10 ล้านยูโรให้กับสโมสรในรัสเซียจากการละเมิดสัญญา ซึ่งเป็นโทษที่ศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา (CAS) ตัดสินให้ยอมรับ
นอกจากนี้ ฟีฟ่า ยังสั่งแบนกิจกรรมอาชีพของเขาเป็นเวลา 15 เดือนอีกด้วย
ส่งผลให้ ดิยาร์ร่า พบว่าการเซ็นสัญญากับสโมสรใหม่เป็นเรื่องยาก เนื่องจากทีมใดก็ตามที่ต้องการรับเขาเข้าทีมอาจต้องแบกรับภาระทางการเงินจากค่าชดเชยที่ถูกกำหนดเอาไว้จากฟีฟ่า เพราะแนวคิดทางกฎหมายนี้เรียกว่า “ความรับผิดร่วมกัน” หมายความว่าสโมสรที่เซ็นสัญญากับผู้เล่นจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน เป็นภาระผูกพันตามสัญญาก่อนหน้านี้ของผู้เล่น
ดิยาร์ร่า ที่ได้เรียกร้องค่าชดเชยจาก โลโคโมทีฟ โดยอ้างว่าพวกเขาละเมิดสัญญาและบังคับให้ ดิยาร์ร่า หยุดเล่นและฝึกซ้อมอย่างมืออาชีพ
แต่คำร้องของเขาถูกปฏิเสธ
ยิ่งไปกว่านั้น ดิยาร์ร่า ได้ถอนตัวออกจากการยื่นข้อเสนอของหลายๆ ทีมไป อันเนื่องมาจากความซับซ้อนทางกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีความสำคัญในการพิสูจน์ความเสียหายที่เกิดจากการใช้กฎดังกล่าวกับอาชีพของดิยาร์ร่า ซึ่งทำให้คดีของเขามีพื้นฐานทางกฎหมายที่มั่นคง
ตามคำตัดสินของศาลยุติธรรมแห่งยุโรป (ECJ) นั้น กฎเหล่านี้ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของระบบการโอนย้ายของ ฟีฟ่า แถมยั้งละเมิดหลักการพื้นฐานของการโยกย้ายแรงงานและการแข่งขันภายในสหภาพยุโรป
คำตัดสินระบุว่ากฎของฟีฟ่า “ทำให้ผู้เล่นและสโมสรที่สนใจเซ็นสัญญากับพวกเขาต้องเกิดความเสี่ยงทางกฎหมายอย่างมาก มีความเสี่ยงทางการเงินที่คาดเดาไม่ได้และอาจสูงมาก”
ศาลในลักเซมเบิร์กกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า “เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว กฎเหล่านี้อาจขัดขวางการย้ายทีมของผู้เล่นเหล่านี้ไปต่างประเทศ”
“กฎเหล่านี้จำกัดการเคลื่อนย้ายผู้เล่นอย่างเสรีและจำกัดการแข่งขันระหว่างสโมสร” ECJ ระบุ
คำตัดสินดังกล่าวอาจส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อวงการฟุตบอลโลก ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า ระบบการย้ายทีมในปัจจุบันอาจตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้
เดวิด มิคาอิล ทนายความด้านกีฬา กล่าวถึงคำตัดสินดังกล่าวว่าเป็น “การปฏิวัติวงการ” โดยเปรียบเทียบกับกรณีบอสแมนที่โด่งดังในปี 1995 ซึ่งเปลี่ยนฟุตบอลไปตลอดกาล
นั่นคือ อนุญาตให้ผู้เล่นย้ายสโมสรได้เมื่อสิ้นสุดสัญญาโดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม
แม้ว่า ฟีฟ่า จะมีกฎของตัวเองและพยายามที่จะดำเนินการอย่างอิสระ โดยใช้กฎหมายของเมืองซูริค ซึ่งอยู่ภายนอกสหภาพยุโรป ซึ่งสมาคมระดับ 2 และ 3 ทั้งหมดอยู่ภายใต้กฎนี้
แต่นั่นก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไป
ศาลยุโรปกล่าวเสริมว่า “ศาลพบว่ากฎทั้งหมดนี้ขัดต่อกฎหมายของสหภาพยุโรป”
เมื่อพิจารณาจากคำตัดสินนี้จากศาลสูงสุดในภูมิภาคที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก มีแนวโน้มว่าฟีฟ่าจะต้องปรับเปลี่ยนกฎเกี่ยวกับการย้ายผู้เล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการยุติสัญญาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ในทางปฏิบัติ หากคำตัดสินและผลที่ตามมาขยายออกไป อาจเพิ่มความยืดหยุ่นของผู้เล่นในการย้ายทีม แม้ในขณะที่ยังมีสัญญาอยู่
ส่งผลให้พลวัตของตลาดการย้ายทีมในยุโรปในปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และท้ายที่สุดก็เปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก
คำตัดสินของศาลยุติธรรมแห่งยุโรปทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความเข้ากันได้ของระบบการย้ายทีมของฟีฟ่ากับกฎหมายของยุโรป ซึ่งควบคุมลีกระดับสูงสุดของโลกส่วนใหญ่ ยกเว้นพรีเมียร์ลีก รวมถึงลีกในอิตาลี สเปน เยอรมนี และฝรั่งเศส
สโมสรขนาดเล็กที่ต้องพึ่งพาการย้ายผู้เล่นเพื่อความมั่นคงทางการเงิน อาจได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ สโมสรที่ไม่ได้อยู่ในสหภาพยุโรปยังแสดงความกังวลว่าสัญญาของพวกเขา ซึ่งอยู่ภายใต้กฎของฟีฟ่าและกฎหมายแรงงานในท้องถิ่น อาจมีความเสี่ยง เนื่องจากกฎของฟีฟ่า มักให้การคุ้มครองตามสัญญาที่ดีกว่ากฎหมายในท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการชดเชยสำหรับการละเมิดสัญญาฝ่ายเดียวโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ทำให้สโมสรต้องรับผิดร่วมกับผู้เล่น
ในขณะที่โลกกำลังรอคอยการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของ ฟีฟ่า เป็นที่ชัดเจนว่ากรณีของ ดิยาร์ร่า ได้เปิดประตูสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ในตลาดการซื้อ-ขาย
ยุคใหม่นี้จะทำให้ผู้เล่นควบคุมอาชีพและการเคลื่อนไหวภายในกีฬาได้มากขึ้น แต่ยังอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสโมสรที่พัฒนาและผลิตผู้เล่น ซึ่งจะสูญเสียอำนาจในการต่อรอง เนื่องจากผู้เล่นพยายามเรียกร้องเงินเดือนที่สูงขึ้นและย้ายไปสโมสรที่มีรายได้มากกว่า
จุดนี้น่าสนใจเป็นอย่างมากว่า การโอนย้ายเป็นเพียงการจ่ายเงินเพื่อแลกกับการยกเลิกสัญญาที่มีอยู่ระหว่างผู้เล่นกับสโมสร รวมถึงการจดทะเบียนผู้เล่นในลีกที่เกี่ยวข้องที่สังกัดอยู่กับฟีฟ่า
หากอำนาจนี้ถูกพรากจากสโมสรและมอบให้กับผู้เล่น ระบบทั่วโลกทั้งหมดจะตกอยู่ในความเสี่ยง นี่คือเหตุผลว่า ทำไมจึงจำเป็นต้องมีกรอบกฎหมายใหม่สำหรับโลกของฟุตบอล
เพราะหากไม่มีสโมสรฟุตบอลที่แข็งแกร่ง ผู้เล่นก็จะไม่มีความยั่งยืนและไม่มีธุรกิจที่ยั่งยืน
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี