เมื่อหนังสืออัตชีวประวัติ ที่ืชื่อว่า “Mourinho : Behindthe Special One, from the origin to the glory,”ออกวางจำหน่ายเมื่อ 4 ปีก่อน
ทำให้โลกได้รู้ว่า “บนเรือยอชต์” ได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลกฟุตบอลไปตลอดกาล!!!!
หนังสือประวัติการทำงานของ “เดอะ สเปเชี่ยล วัน”โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือมากฝีมือปากกล้าขาตั้งสู้ชาวโปรตุเกส ถูกเปิดเผยต่อหน้าธาลกำนัล ในตอนนั้นเขาคุมทัพ“ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ขณะที่ปัจจุบันในตุรกี กลายเป็นเรื่องหนึ่งในตำนานลูกหนังที่ถูกบันทึกเอาไว้ให้น่าจดจำว่า
1.สัญญาปากเปล่า 2.เงินซื้อไม่ได้ ถ้าไม่มากพอ หรือกระะทั่ง 3.ฉันหรือเธอที่เผลอใจ
ทำให้ ลิเวอร์พูล เสมือนกลายเป็น “ม่ายขันหมาก”
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เมื่อครั้งที่ โชเซ่ มูรินโญ่ นำทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หลังจากถลุง โมนาโก ไส้ไหล 3-0 ปรากฏว่า มูรินโญ่ กับ ลิเวอร์พูล ได้เจรจากันแล้วว่า จะทำงานร่วมกันในซีซั่นถัดไปนั่นคือ ฤดูกาล 2004-05
ฮอร์เก้ ไบเด็ค อดีตที่ปรึกษาส่วนตัวของมูรินโญ่ บอกว่ามูรินโญ่ เกือบไปคุมลิเวอร์พูล หลังจากตกลงกับ ริค แพร์รี่ประธานบริหารของลิเวอร์พูล เพื่อมาทำงานแทนที่ เชราร์อุลลิเย่ร์ แต่ขอเวลาสักหน่อย เพราะตอนนั้นยังไม่จบฤดูกาล
เป็นมารยาทในการทำงานระหว่าง ลิเวอร์พูล กับอุลลิเย่ร์ อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในจังหวะเผลอไผลตีไก่ง่วง “จอร์จเมนเดส” หนึ่งใน “ซูเปอร์เอเย่นต์” ของโลกฟุตบอล กระโดดเข้ามา “ฟันม่าน” นำข้อเสนอของ “สิงโตน้ำเงินคราม”เชลซี มาให้ มูรินโญ่ ได้พิจารณาด้วย แน่นอนที่สุดว่าข้อเสนอจาก เชลซี นั้นมากกว่าข้อเสนอจาก ลิเวอร์พูล
การมาทำงานปีแรกของ “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิชกำลังเดินหน้าเต็มกำลัง เขาก็กำลังจะหาเรื่องปลด เคลาดิโอรานิเอรี่ ออกไปจากทีมเหมือนกัน ถือว่าเข้าร่องแข้งรอเตะให้เต็มตีนเตี่ย
จากนั้น มูรินโญ่ ก็มีนัด VS กับเสี่ยถึง 2 ครั้ง เริ่มจากครั้งแรก ก่อนเกมที่ ปอร์โต้ จะดวลกับ เดปอร์ติโบลา คอรุนญ่า ในรอบตัดเชือกแชมเปี้ยนส์ลีก และครั้งที่ 2 ถือว่าสำคัญมากๆ เพราะทั้งคู่เจอกันบนเรือยอร์ช (ที่ไม่รู้มีกี่ลำ) ของเสี่ย ให้หลังจาก มู เพิ่งนำ ปอร์โต้ ครองเจ้ายุโรปเวลาเพียง 24 ชั่วโมงต่อมา!!!
คาดว่าการเจรจาต้าอ้วยครั้งนี้ เป็นการลงนามสัญญาที่สำคัญกว่าการได้เสียเป็นเมียผัว นั่นหมายว่าการ “Hijacked the deal” จึงเกิดขึ้น!!!!
ปฐมบท “ดาร์บี้แมทช์ คนละเมือง” จึงอุบัติขึ้นแบบไม่มีใครทราบและคาดคิดมาก่อน
เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา ลิเวอร์พูล กับ เชลซี คือทีมที่เจอกันมากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์นับจากซีซั่นนั้นจนถึงซีซั่นนี้
บ้าอะไรขนาดนั้น!!!!! 20 ปีเจอกันอะไรมากถึง 63 นัดนี่มัน Inter-city rivalry ชัดๆ
ปีนั้นการมาของสองผู้จัดการทีมใหม ได้นำ “เทรนด์ ฟุตบอล” เข้าสู่เกาะอังกฤษ
โชเซ่ มูรินโญ่ ปักหมุด 4-3-3 กับ “เอล บอส” ราฟา เบนิเตซ จากบาเลนเซีย ที่มาคุมปีกหงส์ ยืนหยัด 4-2-3-1 พร้อมระบบ “โรเตชั่น” ที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาให้ได้เห็นกัน
3 ตุลาคมปี 2004 คือการเจอกันครั้งแรก ก่อนที่ทั้งสองทีมเจอกันรวมซีซั่นเดียวถึง 5 เกม นั่นคือ 2 เกมพรีเมียร์ลีก, นัดชิงชนะเลิศลีกคัพ และรอบรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก อีก 2 นัด
มูรินโญ่ นำทีมได้แชมป์ลีกคัพ และได้แชมป์พรีเมียร์ลีกที่ทีมารอมา 50 ปี ส่วน ราฟา ขึ้นสู่ยอดเสาด้วยการครองถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ครั้งแรกตั้งแต่ปี 1984
จากนั้นทั้งสองทีมโคจรมาปะทะกันมากมายเหลือเชื่อ เพราะ 20 ปี มานี้เจอกันในคัพไฟน่อล ถึง 5 ครั้ง บวกกับบอลแชมเปี้ยนส์ลีก 10 นัด นับว่าดุดันมาก
เมื่อรวมสถิติทั้งหมดตลอดกาล คือ ลิเวอร์พูล ชนะ 86 เชลซี ชนะ 65 และเสมอกัน 46 เกม
ความสูสีก็คือ ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะชนะ 4-1 ในพรีเมียร์ลีก ล่าสุดที่เจอกัน ปรากฏว่าคู่นี้เสมอติดต่อกันนานถึง 7 เกมด้วยกัน รวมถึงมี 4 เกมที่ยิงกันไม่ได้ ซึ่ง 2 ในนัดคือนัดชิงลีกคัพ กับ เอฟเอคัพ 2022
คู่ปะทะคู่นี้จึงกลายเป็นที่หยิบยกเป็นประเด็นตลอด 2 ทศวรรษ กับเรื่องราวต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นแบบชนกันเต็มๆ ผมขอเลือกมา 10 เรื่องให้ติดตามกันอีกที
1.โชเซ่ มูรินโญ่ โดนไฮแจ๊คบนเรือยอชต์ทำให้มาคุมเชลซี ส่วน ลิเวอร์พูล ต้องไปคว้า ราฟา เบนิเตซ
2.โชเซ่ มูรินโญ่ พาทีมต่อเวลาทุบ ลิเวอร์พูล 3-2 ครองแชมป์แรกบนเกาะอังกฤษ นั่นคือลีกคัพ
3.ประตูผีของ หลุยส์ การ์เซีย ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่าน เชลซี ในรอบตัดเชือกยูซีแอล 2005 ก่อนไปสร้างมหัศจรรย์ที่อิสตันบูล และปีต่อมา การ์เซีย ก็ยิงสุดสวยดับ เชลซี พาหงส์ชิงเอฟเอ คัพ
4.เชลซี เกือบควักหัวใจ ลิเวอร์พูล ได้ถึงสองครั้ง นั่นคือจะเซ็นสัญญา สตีเว่น เจอร์ราร์ด แต่สุดท้ายปิดดีลไม่สำเร็จ ก่อนจะได้ เฟร์นานโด ตอร์เรส ไปครอบครองแทน
5.เคนนี่ ดัลกลิช คุมทีมเป็นนัดสุดท้ายของการคัมแบ๊กรอบที่สอง คือแพ้ เชลซี 1-2 ชวดดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วย และต้องลงจากตำแหน่งปี 2012
6.โชเซ่ มูรินโญ่ คัมแบ๊กทีมคำรบสอง จัดตัวสำรอง 10 คน บุกไปหักคอและสอนเชิง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส 2-0 จนทำให้บั้นปลายพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีก 2014
7.ลิเวอร์พูล ถลุงชัยเหนือเชลซี 5-3 ในวันฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกรอบ 30 ปี ที่แอนฟิลด์
8.ชิงแชมป์บอลถ้วย 2 นัด ลีกคัพ กับ เอฟเอ คัพปี 2022 เสมอกัน 0-0 ทั้งสองนัด และลิเวอร์พูล ชนะจุดโทษทั้งสองเกม ที่สำคัญก็คือ ก่อนชิงลีกคัพจะเริ่มไม่กี่ชั่วโมง “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช จำเป็นต้องเตรียมอพยพ และขายทีมทิ้ง เนื่องจากกรณีรัสเซีย บุก ยูเครน
9.ลิเวอร์พูล จะชิงตัว มอยเชส ไคเซโด้ ในตลาดซัมเมอร์นี้ แต่ เชลซี คว้าไปครอง และจากนั้น เชลซี ก็ชิงตัวโรเมโอ ลาเวีย ที่ลิเวอร์พูล หมายปองไปครองได้ในอีกไม่กี่วันต่อมา
10.เจอร์เก้น คล็อปป์ ลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ด้วยโทรฟี่คาราบาว คัพ เมื่อปีก่อนเป็นการส่งท้าย ด้วยการต่อเวลาชนะ เชลซี 1-0
มาถึงวันนี้ หลายสิ่งหลายอย่างสถานการณ์เปลี่ยน ที่ยังคงเหมือนเดิมมีอยู่มากมายให้เราได้เห็น อาทิ......
1.เปลี่ยนผู้จัดการทีมใหม่เหมือนกันกับเมื่อ 20 ปีก่อน โดย ลิเวอร์พูล ใช้ อาร์เน่อ สล็อต ส่วน เชลซี เลือก เอ็นโซ่ มาเรสก้า
ระหว่างทาง 20 ปี เชลซี เปลี่ยนแปลงกุนซือแทบจะปีต่อปี เมื่อเทียบกับคนที่ทั้งทำงานประจำ, คุมทีมชั่วคราว, ขัดตาทัพ มากถึง 21 ครั้ง ตรงกันข้ามกับ ลิเวอร์พูล ที่ สล็อต คือกุนซือคนที่ 6 ในรอบสองทศวรรษ
2.บอร์ดบริหารเปลี่ยนชุด แต่ยังคงสไตล์คล้ายเดิม เมื่อ 20 ปีก่อน
เชลซี เปลี่ยนแปลงหนเดียว ปัจจุบันคือ ท็อด โบห์ลี่ย์ที่จ่ายเงินไม่ด้อยไปกว่า หรืออาจจะหนักกว่ายุคของ “เสี่ยหมี”ด้วยซ้ำ แต่วิธีเปลี่ยนไปจากเดิมที่เน้นของโหด แต่ปัจจุบันซื้อแบบ “กวาดตลาด” เน้นอายุน้อย สัญญาเยอะ
ลิเวอร์พูล จาก 20 ปีก่อน เปลี่ยนเจ้าของทีมเป็นรายที่ 3 จาก เดวิด มัวร์ส, ทอม ฮิคส์ กับ จอร์จ ยิลเล็ตต์ มาเป็นยุคของ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ ที่ยังคงใช้เงินแบบเดิม
ตระหนี่ จำกัด ประหยัด มัธยัสถ์ ที่บางคนเลยเถิดบอกว่า เข้าห้องน้ำต้องเอากรรไกรไปตัดเวลาถ่าย
3.ทั้งสองทีมประสบความสำเร็จมากมาย ความสำเร็จคือ “แบรนด์” ติดระดับโลกไปแบบใครเห็นก็รู้ว่า “อะไร”
เชลซี ได้ถ้วยเยอะกว่า ขยับขึ้นมาเป็นหนึ่งในทีมระดับแนวหน้าของประเทศ และเป็นที่รู้จักทั่วโลก ขณะที่ลิเวอร์พูล โลโก้นี้บอกอะไรกับทุกคนโดยไม่ต้องอธิบาย มูลค่าสูงขึ้นในทุกๆ ปี ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้แชมป์
สองทีมขึ้นชั้นการเป็นแชมป์ของประเทศ, แชมป์ของยุโรป และแชมป์ของโลกระดับสโมสร
.....นาทีปัจจุบัน มีนักบอลที่เป็นคีย์แมนเท้าซ้ายเหมือนกัน และไม่ค่อยประสบความสำเร็จ “ส่วนตัว” กับทีมแรกในอังกฤษ
นั่นคือ โม ซาลาห์ ของลิเวอร์พูล ที่เคยล้มเหลวกับ เชลซี และโคล พาลเมอร์ ของเชลซี ที่แทรกตัวจริงกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ได้
คู่นี้กลายเป็นเจอกันที่ไหนก็สนุกแบบแปลกๆ ทั้งที่แผนที่ฟุตบอลก่อนหน้านี้ ไม่ได้ใกล้เคียงกัน และแผนที่ตั้งของทั้งสองทีมก็อยู่ห่างกันถึง 287 กิโลเมตร บนเส้นทางจาก M6 ไปจนถึง M40
น่าสนใจก็คือ ฟุตบอลของทั้ง สล็อต และมาเรสก้า มาในระบบ 4-2-3-1 เหมือนกันไปแล้ว
ระบบชนระบบ เหมือนว่ายืนยังไงก็ตรง เหมือนกับยืนยังไงก็ติด ยืนยังไงก็เหมือนจะเข้าบล็อกเดียวกัน
ทีนี้น่าจับตาตรงรายละเอียดการเล่นของแนวรับ 4 คน กับ คู่กลางนั้น ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย
ลิเวอร์พูล ใช้คู่กลางขยับขึ้นสูงกว่า โดยมีคู่เซ็นเตอร์ดันปิดข่อง แล้วให้ แบ๊กสลับกันเข้ามาแนบใน เพื่อแทรกปิดรอยส่วนแดนหน้านั้น จะใช้กลางรุก กับหน้าเป้า เป็นตัวจั่วแรกเพื่อเข้าหาในแนวลึก โดยเวลาเล่นเกมรับจะเป็น 4-2-4
เชลซี มิดฟิลด์คู่ จะยืนต่ำ แทบจะใกล้กับคู่เซ็นเตอร์แบ๊ก ใช้สปีดและทักษะของ 3 ตัวรุกในการเคลื่อนที่ แต่ถ้าเล่นเกมรับพวกเขาจะไม่ปรับแนว จะยึดแผน 4-2-3-1 ที่รัดกุมขึ้นกว่าปีก่อน
สิ่งหนึ่งก็คือ ลิเวอร์พูล 6 คน ในแดนกลางกับแดนหน้าจะเน้นทำงานร่วมกันเป็นหลัก ชอบเล่นแบบ 6 เหลี่ยม อาศัยบอลดีเลย์ ให้หน้าเป้าโอเวอร์โหลด ส่วน เชลซี กองกลางจะเล่นร่วมกับกองหลังเป็นหลักก่อน แล้วใช้การโจมตีในการออกบอลทะแยงมุม พุ่งไปข้างหน้า
มองในเรื่องของการอาศัยจังหวะ, สมาธิ และความรัดกุมสำคัญอย่างสุดๆ ในนัดนี้ ผมมองว่าสำคัญกว่าแท็กติกที่วางลงไปด้วยซ้ำ
กับเกมที่ผลงานของทั้งสองทีมเล่นได้อย่าง “เกินราคา” และ “เกินคาด” กว่าที่คิดกันไว้ก่อนเปิดซีซั่น
ลิเวอร์พูล ชนะได้ถึง 6 จาก 7 นัดแรก เป็นจ่าฝูงก่อนแมทช์เดย์ ขณะที่ เชลซี แพ้เกมเดียวเหมือนกัน และชนะไปถึง 4 นัด
ไม่แปลกที่ทั้ง สล็อต และ มาเรสก้า จะได้รับคำชื่นชม เพราะทำงานได้อย่างน่าสนใจ
เพียงแต่จะทานทนกับซีซั่นมาราธอน คิวเตะบานตะไทขนาดไหนก็เท่านั้นเอง
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี