เจาะประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูลเอาชนะเชลซี 2-1 รักษาตำแหน่งจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกอังกฤษต่อไปได้อีกหนึ่งสัปดาห์
1.แผนนัดต่อนัด
สถานการณ์มันบีบให้ทั้งสองทีม ไม่มีผู้เล่นจากอเมริกาใต้ออกสตาร์ทมากมายนัก โดยเฉพาะคู่กลางแชมป์โลกจากอาร์เจนติน่า
สไตล์การทำงานของ อาร์เน่อ ชล็อต เค้ายืนยันชัดเจนอยู่แล้วว่า จะต้องเล่นอย่างไร
เมื่อเรามองกับยุคก่อนหน้านี้ที่เราอยู่กับมาตรฐานการเล่นของ เยอร์เก้น คล็อปป์ นั่นคือ เล่นในแบบฉบับตัวเองทุกนัด ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
มายุคนี้ ชล็อต เปลี่ยนแนวอย่างชัดเจนที่สุดนั่นคือ ยอมถอยหลังครึ่งก้าว เมื่อยืนหยุ่นตามวิธีการของคู่แข่ง
เกมนี้เขารู้ว่า แนวรุกเชลซีกำลังฉูดฉาดด้วย โคล พาลเมอร์ ที่เป็นเพลย์เมคเกอร์ ที่มีคนขนาบข้างที่ดีอย่าง จาดอน ซานโช่ และโนนี่ มาดูอาเก้ รวมถึง นิโกลัส แจ๊คสัน ที่ทำฟอร์มได้ดีในปีนี้ ทำให้ ชล็อต ใช้การเล่นแบบ “ไลน์โฟร์” เต็มรูปแบบ
ครึ่งแรก เทรนท์ กับ โรเบิร์ตสัน ไม่ได้ขึ้นมาเติมเลย ขณะที่ครึ่งหลังเริ่มขยับขึ้นมาแต่ถือว่าน้อยที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี
อีกจุดที่เปลี่ยนไปชัดเจน เมื่อไม่มี แม็ค อัลลิสเตอร์ ออกสตาร์ท คนที่ลงแทนคือ เคอร์ติส โจนส์ ที่มีวิธีการเล่นแตกต่างกัน แต่ถือว่าใกล้เคียง แม็กก้า มากที่สุด ทำให้ กราเฟนแบร์ช ถูกจับมายืนต่ำแทบจะใกล้กับคู่เซ็นเตอร์แบ๊ก ทั้งที่ปกติแล้ว กราเฟนแบร์ช จะเล่นอยู่ไม่ห่างจากแดนบน ถือเป็นการพลิกแผนอีกครั้งที่น่าสนใจ
2.หงส์สองแผนไม่ใช่แผนสอง
โดยปกติ 4-2-3-1 คือสตาร์ทติ้งไลน์อัพ
เวลาเล่นเกมรับ 4-2-4
ครึ่งหลังปรับวิธีมาเป็น 4-3-3 ชัดเจน
โดมินิค โซโบสไล ตกเป็นเป้าวิจารณ์ตามสไตล์ เนื่ืองจากตัวเลขสถิติไม่ขยับทั้ง แอสซิสต์ หรือทำประตู แม้กระทั่ง ชล็อต ก็เคยบอก แต่วิธีการของ ชล็อต นั่นแหล่ะที่มีส่วนทำให้เขาแบ่งเป็น 2 แบบชัดเจน
1.ตัวเลขไม่เพิ่ม
2.โดดเด่นไปอีกทาง
โซโบสไล เป็นประโยชน์ต่อการเล่น เนื่องจากตัวเขาเป็นตัวเล่นสำคัญในแผนของ ชล็อต ครึ่งแรกวิ่งแดนบนหนักหน่วง จากนั้นในครึ่งหลังวิ่งตีโค้งไปมาในบริเวณกึ่งกลางสนาม เพื่อปิดพื้นที่ฮาล์ฟสเปซ
ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล อยู่ได้ด้วยกองกลางที่เคลื่อนที่โดย อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และการวิ่งของ โซโบสไล ทำให้ ไรอัน กราเฟนแบร์ช เล่นง่าย
หนนี้ โซโบสไล วิ่งไม่ได้น้อยไปกว่าเดิม แต่วิธีวิ่งครึ่งแรกกับครึ่งหลังต่างกัน ดังนัั้นหลายคนมองว่า เขาดูเบาลงไปเวลาจ่ายบอล ออกบอล หรือหาพื้นที่แนวรุกยิงประตู
อันนั้นไม่ผิด
แต่ตรงกันข้ามก็คือ “คนที่ไม่มีบอล” สำคัญอย่างมากมาตั้งแต่ยุค คล็อปป์
เราเคยเห็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน วิ่งแกนตรง หรือ จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม วิ่งคล้องหลังเป็นรูป “ตัว L”
ปัจจุบันคนที่เล่นให้แบบนี้ และทำให้คนที่ได้บอลได้เปรียบ นั่นคือ โซโบสไล
แกได้เล่นยาวๆ แบบนี้นั่นหมายว่า แกต้องทำได้ตามที่บอสสั่ง
อีกอย่างคือ ตัวเปลี่ยนสำคัญอย่าง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ยังไม่พร้อม ดังนั้น โซโบสไล เล่นได้ขนาดนี้ และถอดสลักการเป็นกัปตันทีมชาติฮังการี ที่ดุจเจ้าชายเวลารับใช้ชาติ
มาเป็นลูกหาบให้กับสโมสร
สำคัญกว่าเสียงวิจารณ์ก็คือ ทำให้ โคล พาลเมอร์ ได้บอลน้อย และพิษสงจึงน้อยตามไปด้วย
3.กองกลางของเชลซี
เมื่อเราเห็นกองกลางของ ลิเวอร์พูล ไม่มี แม็ค อัลลิสเตอร์ ก็ถือว่า “แอบกลัว” แต่ตรงข้ามเมื่อ เชลซี แบโผมาเป็น ลาเวีย กับ ไคเซโด้ มันทำให้ การเล่นของ โซโบสไล ที่ขึ้นไล่ตัวแรกสำคัญขึ้นมาทันที
อย่าลืมว่า ลาเวีย กับ ไคเซโด้ ไม่ใช่จอมทัพ และไม่ใช่นักบอลแดนกลางที่จ่ายบอลแนวลึก จ่ายบอลแบบทะแยงมุมได้ เมื่อข้างบนของลิเวอร์พูล ทำงานได้ ทำให้ เคอร์ติส โจนส์ มีพื้นที่ในการเล่นและคอยวิ่งเสียบขึ้นมา เพราะเมื่อไม่มีบอลยาว ไม่มีบอลทะแยง ทำให้แนวรุกอันจัดจ้านของ เชลซี ดูเบาลงไปทันที
ที่สำคัญก็คือ โคล พาลเมอร์ ไม่มีพื้นที่ให้เล่น เนื่องจากวิธีการบีบจากแดนบน ดีเลย์ไว้ก่อนและทำให้แนวลึกของลิเวอร์พูล มีเวลาในการรับมือ
อีกทั้งแบ๊กทั้งสองฝั่ง “ไม่ขึ้นเลย” ทำให้พื้นที่ที่ต้องการของปีกเชลซี มีน้อยลงไปในทันที
ข้อหนึ่งก็คือ เอ็นโซ่ มาเรสก้า แสดงให้เห็นว่า พวกเขามีวิธีการใหม่ ๆ อยู่เสมอ จากคุณภาพนักเตะที่มี เมื่อส่ง เอ็นโซ่ ลงมาเดินเครื่อง ทำให้บอลน่ากลัวขึ้น การให้ เนโต้ กับ เอ็นคุนคู ลงมาเพิ่มมิติน่ากลัวขึ้นมา แต่การเล่นบอลระหว่างไลน์มันค่อนข้างยาก เนื่องจาก ชล็อต เลือกถอนกำลังลงมาปิดแนวลึก ก่อนจะเอาตัวรอดมาได้สำเร็จ
4.วิธีวิ่งใหม่ของกองหน้า
เมื่อ โชต้า ไม่ได้อยู่ในทีม การถอนตัวมาช่วยแนวรับ หรือ โอเวอร์โหลด ดูจะมีปัญหาในช่วงท้ายครึ่งแรก
การเล่นแบบใหม่ของ ดาร์วิน นูนเญซ วิ่งฉีกออกข้างซ้ายขวา ไม่พุ่งไปข้างหน้า คืออีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ นูนเญซ สามารถทำงานได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ด้วยความเกรี้ยวกราดและแข็งแรง ทำให้สมาธิของเชลซี เสียไป
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ นูนเญซ เหมือนจะตบะแตกไปแล้ว แต่สามารถกลับมาอยู่ในเกมได้ อันนี้ถือว่าทำได้ดี เพราะเคยมีบทเรียน เพราะเขาจะมาพลาดถูกลงโทษแบบหมูหกไม่ได้อีกแล้ว
นี่คือ ชล็อต ไม่ใช่ คล็อปป์
5.มาตรฐานผู้ตัดสิน
มีการวิพากษ์วิจารณ์สำคัญ 2 เรื่องในเกมนี้
1.โตซิน อดาราบิโอโย ปราการหลังตัวเก่งของเชลซี ซึ่งเป็นนักเตะคนสุดท้ายในแนวป้องกันของทีม ปะทะ ดิโอโก โชตา ล้มแถวกลางสนาม แต่ผู้ตัดสินกลับให้แค่ใบเหลือง
จากจังหวะนั้น ทำให้ โชต้า อยู่ในสนามได้อีกไม่นาน ก่อนจะต้องถูกเปลี่ยนออกไป
ทวงถามถึงมาตรฐานผู้ตัดสินอังกฤษ เพราะในเกมที่ อาร์เซน่อล แพ้ บอร์นมัธ 0-2 เมื่อ 1 วันก่อนหน้านั้น วิลเลี่ยม ซาลิบา กองหลัง อาร์เซน่อล มีชอตที่ทำฟาวล์คล้ายกับ อดาราบิโอโย่ จนโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม
ไมค์ ดีน อดีตกรรมการในระดับ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กล่าวว่าผู้ตัดสิน จอห์น บรู๊คส์ ทำถูกแล้ว เพราะจุดเกิดเหตุมันคนละแบบ และบอลมันพุ่งไปด้านข้าง กับพุ่งเข้าหาประตู
ผมมองว่า มี กุสโต้ ที่วิ่งตีคู่มาด้วย ทำให้
2.ของ จุดโทษ ที่ถูกริบของ เคอร์ติส โจนส์
มันอยู่ที่การเลือกของผู้ตัดสินที่จะมองไปที่จุดไหน
1.ถ้าโฟกัสไปที่ โรเบิร์ต ซานเชส ลูกนี้ัถูกยกเลิกไม่ให้เป็นจุดโทษก็ถือว่าถูกต้อง เพราะ ซานเชส ถึงก่อน และ โจนส์ โฟลโล่ทรู เข้าไป
2.แต่ถ้าโฟกัสไปที่ โตชิน อันนี้ก็น่าสนใจว่า เกิดจากการตั้งแต่ฟาวล์จากการเอามือไปดึง หรือว่าแค่เอามือไปแปะแบบสังฆทาน เพื่อทำลายจังหวะ
เมื่อผู้ตัดสิน โฟกัส ไปที่ซานเชส แน่นอนว่า ทุกอย่างจบ
แต่ถ้าโฟกัสไปที่ โตชิน อันนี้ไม่แน่ใจแฮะ
แต่ที่แน่ ๆ ลิเวอร์พูล ชนะได้ ด้วยสไตล์ของทีมในยุคปัจจุบัน นี่คือสไตล์ที่ชัดเจนของ ชล็อต นั่นคือ เล่นประคองสถานการณ์ไปเรื่อย ในครึ่งแรกได้ก็เอาไม่ได้ก็ค่อยว่ากัน ก่อนจะเลือกปรับตามที่คู่แข่งขยับตัว
ทีนี้ต้องมาดูว่า เมื่อถึงเวลาที่จะต้องปรับตัวเองก่อนบ้าง เขาจะทำได้ดีแค่ไหน
เพราะการพลิกกลับมาชนะทีมที่กำลังมั่นใจ และมีมูลค่าอย่าง เชลซี ได้สำเร็จ ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ
ส่วนคำถามบางคำถามที่มาจากใจ หรือไร้สปิริตก็แล้วแต่เรื่องของจริงหรือของปลอม อันนี้ตอบไม่ได้
ลองส่องกระจกกันเองครับว่า อะไรจริง อะไรเท็จ หรือมีอะไรที่ตึงโบ สวัสดีฮะ
#บีแหลมสิงห์
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี