ผ่าบิ๊กแมทช์! ไลน์อัพ สไตล์ ทีเด็ด จบเกม‘ปืน-หงส์’เจ๊าสะเด่า
บิ๊กแมทช์ที่แอชเบอร์ตัน โกรฟ จบลงด้วยผลเสมอกัน ระหว่าง อาร์เซนอล กับ ลิเวอร์พูล 2-2 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
เป็นเกมที่สู้กันอย่างโชกโชน และสภาพนักเตะก็เห็นได้เลยว่า “ขาแทบลาก” กับโปรแกรมโหดที่เจอเหมือนกันคือ 3 วันต่อ 1 นัด และบดกระดูกันท่ามกลางสภาพทีมที่ไม่ได้สมบูรณ์แต่อย่างใด
คุณภาพอาจจะไม่ได้ตามที่ใจคิด แต่ห้ำหั่นกันด้วยแทคติค และกองกำลังผสมที่น่าสนใจมาก ๆ
ผมหยิบ 3-4 ประเด็นมาให้ได้หยิบกันเช่นเดิม
๐ ไลน์อัพแรกที่น่าสนใจ
ทั้งสองทีมต้องแก้ไขปัญหา กับการจัดตัวนักเตะลงสนาม ที่เราได้วิเคราะห์วิจารณ์กันเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเกม
อาร์เซนอล ได้ บูคาโย่ ซาก้า กลับมายืนเป็นปีกอีกครั้งตามสูตร เพราะถ้าไหวยังไงก็ต้องเข็นลง หรือไม่ก็เก็บความสดเพื่อเกมนี้ ทำให้แนวรุกมีความบาลานซ์มากขึ้น เพราะด้านขวาไม่มี มาร์ติน โอเดการ์ด ที่เจ็บขาดทุนไปก่อนแล้ว
การขาดปราการหลัง 2 คน คือ วิลเลี่ยม ซาลีบา ที่ติดแบน และริคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ ที่บาดเจ็บ สุดท้ายขยับ เบน ไวท์ เข้าหา กาเบรียล มากัลเญส ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ แล้วใส่ เยอร์เรี่ยน ทิมเบอร์ เป็นแบ๊กซ้าย(ไม่เลือก โอเล็กซานเดอร์ ซินเชงโก้ อีกแล้ว) และจัด โตมาส ปาเตย์ เป็นแบ๊กขวา
มิเกล เมริโน่ สตาร์ทกลางคู่กับ เดแคลน ไรซ์ แล้วให้ เลอันโดร ทรอสซาร์ กับ ไค ฮาแวร์ตซ์ เคลื่อนขึ้นลง โดยมี กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ยืนรุกด้านซ้าย ซาก้า อยู่ขวา บอลรับ 4-4-2 แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่บอลตั้งไม่มีอินเวิร์สท์ใด ๆ ปืนอยู่ในแนวเดิม 4-3-3 สลับโอเวอร์โหลด และบางครั้งบอลยาวชัดเจนคือปรับโฉมบุกกางเต็มข้อคือ 4-2-4
ฝั่ง “หงส์แดง” เลือกพัก แต่บอกว่า “กล้าพัก” ตัววิ่งอย่าง โดมินิค โซโบสไล แล้วให้ เคอร์ติส โจนส์ ลงมาไล่ก่อน เพราะต้องการดีเลย์เกมตรงกลาง ที่เหลือตรงตามที่คาด เพราะด่านสุดท้ายเมื่อมือ 1 อย่าง อลิสซอน เบ๊คเกอร์ เจ็บยาว นี่คือปัญหาของ ลิเวอร์พูล โดยตรง ทำให้ต้องใช้ ควีวีน เคลเลเฮอร์ ที่กำลังมั่นใจเพราะเล่นมาแล้วหลายเกม
ปีกซ้ายปรับมาใช้ หลุยส์ ดิอาซ หลังจาก โคดี้ กัคโป สตาร์ทสองเกมติด
ลิเวอร์พูล เล่น 4-2-3-1 อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ยืนกลางค้ำกับ ไรอัน กราเฟนแบร์ช แบบ “อะลองไซด์” โดนจูงร่วมขึ้น ยืนเท่ากัน โดยมี โจนส์ วิ่งปาดไปปาดมา ขณะที่แบ๊กนั้นตรึงกำลังไม่เน้นขึ้นบน แต่ขยับมากกว่าเกมกับ เชลซี
๐ ทีเด็ดที่ทั้งสองทีมแสดง
อาร์เซนอล ได้ประตูนำเร็วมาก ตั้งแต่ 9 นาทีแรก จากจังหวะที่เป็น “จุดขาย” ของ บูคาโย่ ซาก้า และมันน่าตกใจว่าทำไม แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ถึงได้พลาดง่ายขนาดนั้น
ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่ ซาก้า เล่นแบบนี้ แต่เขาเล่นมาตลอด เพียงแต่ โรเบิร์ตสัน พลาดและถูกลงโทษอย่างสาสม ซึ่ง ซาก้า ยิงได้อย่างเฉียบคม ไม่มีใครจะเซฟลูกยิงจะ ๆ แบบนี้ในเหลี่ยมมุมที่ถนัดถนี่แบบนี้
ลิเวอร์พูล เอาคืนได้อย่างรวดเร็ว ในนาทีที่ 18 จากจังหวะลูกเตะมุมที่อาร์เซนอล ใช้เล่นงานคู่แข่งมาตลอด แต่มาโดน ลิเวอร์พูล มาพังสกอร์ได้ จากการเปิดของ เทรนท์ ไปที่เสาแรกให้กับ ดิอาซ ที่เช็ดไปให้กับ เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค กัปตันทีมที่ชิงเหลี่ยมกับ ปาเตย์ แล้วใช้หัวจิ้มบอลตุงตาข่าย
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ “จุดแข็ง” ของอาร์เซนอล อีกจุดคือ “ลูกเตะมุม” ที่ ชล็อต เหมือนจะเน้นมาเป็นพิเศษว่า อย่าพลาดตรงจุดนั้น และกว่าจะเสียลูกเตะมุมก็ปาเข้าไปท้ายเกม
แต่พวกเขาก็เสียเหลี่ยมจากลูกสแตนดาร์ดให้กับ อาร์เซนอล ในนาทีที่ 43 เมื่อพิษสงลูกนิ่งที่ทำให้ “ปืนใหญ่” ขึ้นนำเป็นครั้งที่ 2 จากลูกโหม่งของ มิเคล เมริโน่
ก่อนที่วิธีการเล่นบอลจากแนวลึกของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ จะมีส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมได้ประตูตีเสมอ 2-2 แบ่งแต้มกลับแอนฟิลด์
วิธีการวิ่งใหม่ของ ดาร์วิน นูนเญซ ที่ฉีกออกข้างจากการวิ่งหันข้าง และการจบสกอร์ที่เป็น “เครื่องหมายการค้า” จาก โม ซาลาห์
163 ประตูในลีก ขึ้นอันดับ 8 สูงสุดตลอดกาลพรีเมียร์ลีก ทาบชั้น ร็อบบี้ ฟาวเลอร์
๐ สู่ปัญหาระหว่างเกม
มิเกล อาร์เตต้า ไม่ได้แก้เกมอย่างที่ต้องการ เพราะเขาต้องแก้ไขไม่ได้แก้เกม
กาเบรียล มากัลเญส ต้องออกไปเพราะเจ็บในนาทีที่ 54 นานแค่ไหนที่เราไม่ได้เห็น ซาลีบา กับ มากัลเญส ไม่อยู่ในสนามยุค อาร์เตต้า ทำให้ ยาคุบ คีวีออร์ ต้องลงสนาม
จากนั้น ทิมเบอร์ ที่ขยับจากแบ๊กซ้ายเข้ามาตำแหน่งของ มากัลเญส ต้องเจ็บออกไปอีกคนในช่วง 15 นาทีสุดท้าย ทำให้ต้องใช้ ไมลส์ เลวิส-สเคลลี่ เท่ากับว่า ซินเชงโก้ คงจะเกิดยากแล้วล่ะแบบนี้
เพราะ อาร์เตต้า ทีมเจ็บขนาดนี้มีปัญหาขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ใช้?????
จังหวะที่ มากัลเญส บาดเจ็บออกไปนั้น ตรงกันข้าม ชล็อต ได้เลือกเปลี่ยน 3 คนรวดในอีกไม่กี่นาทีต่อมา โดยไม่ได้มาเล่นเน้นทางขวา แต่เลือกโจมตีทางฝั่งซ้ายแทน
หลังจาก ดิอาซ บด ปาเตย์ ไปแล้วจึงเลือกเอา “ชุดใหม่” มากดหนักกว่าเดิมทั้ง โคดี้ กัคโป และคอนสแตนตินอส ซิมิกาส
ที่สำคัญก็คือ โดมินิค โซโบสไล ลงมาแทนที่ แม็ค อัลลิสเตอร์ กับวิธีการใหม่ที่น่าสนใจ
๐ สไตล์กองกลางที่ไม่เคยเล่น
หลังจากการเปลี่ยนตัว ลิเวอร์พูล ปรับหมากมาเล่น 4-3-3 แบบร้อยเปอร์เซนต์
หลังจากเล่น 4-2-3-1 สลับกับ 4-3-3 แบบคว่ำ(แม็กก้า คู่ กราเฟนแบร์ช และโจนส์ ตัวบน) มาเป็น 4-3-3 แบบหงาย(กราเฟ่นแบร์ช ยืนกลาง โจนส์ ซ้าย โซโบสไล ขวา)
น่าสนใจก็คือ กองกลางในลักษณะที่เล่นนี้ ชล็อต ไม่เคยใช้มาก่อน
กราเฟ่นแบร์ช, โจนส์ และ โซโบสไล เคยเล่นร่วมกันในเกมที่แล้ว แต่ “ไม่ได้เล่นแบบเดียวกันนี้” โดย ชล็อต ให้ทั้ง 3 คน เดินหน้ามามากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยกว่าคนละ 5 หลา เพื่อกดใส่คู่กลางอาร์เซนอลแบบตรง ๆ แบบเข้าคู่ ไม่ให้ขยับขึ้นมาแล้วแดนบน พร้อมกับบีบให้โยนยาว
และมันก็เป็นผลตรงนี้ที่ทำให้บอลกลับมาเป็นของ ลิเวอร์พูล เร็วขึ้นกว่าครึ่งแรก
ประตูที่ตีเสมอ ต้องบอกว่าเป็นจังหวะที่ทีเด็ดมาก หลังจากบอลบุกทางซ้ายตัวเองมาตลอด พอพลิกกลับมาขวา เป็นจังหวะที่ อาร์เซนอล เสียสมาธิพอดี
เทรนท์ ออกบอกย้ำไปทางฝั่งที่ อาร์เซนอล ต้องแก้ไข บอลถูกจ่ายไปอย่างแม่นยำ แล้วในจังหวะที่แอสซิสต์ของ ดาร์วิน นูนเญซ หักกลับมาให้กับโมฮาเหม็ด ซาลาห์ สังหารเข้าไปต้องบอกว่า ส่งยากมาก
แต่พอส่งได้ทำให้การได้ประตูนี้ “ดูเหมือนง่าย” นั่นมาจากจังหวะการเล่นที่เข้าใจและลงตัว
ลิเวอร์พูล ผ่านเกมยากได้สำเร็จ แม้จะเสีย 2 ประตูในแมทช์เดียวหนแรกยุคของ ชล็อต พร้อมกับผลเสมอหนแรก และอาจจะเสียตำแหน่งจ่าฝูงไปให้กับ แมนฯซิตี้
แต่นี่คือแต้มสำคัญที่ได้ถึงถิ่นของทีมระดับลุ้นแชมป์
เป็นเกมที่ “ได้หนึ่งแต้ม”
ไม่ได้ “เสียสองคะแนน” แต่อย่างใด………..
#บีแหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี