หมดเวลาสำหรับ เอริค เทน ฮาก ที่ต้องแยกทางกับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังผ่านเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2024-25 ไปเพียงแค่ 9 เกมเท่านั้น
มือขวาอย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย ถูกแต่งตั้งขึ้นมารักษาการแต่คนที่มีจะเข้ามาสืบทอดตำแหน่งจริงๆ คือ รูเบน อโมริม จากสปอร์ติ้ง ลิสบอน ที่ตกลงสัญญาและเปิดตัวเรียบร้อยแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
จากผลงานในช่วง 2-3 ปีหลัง ทำให้ชื่อของเขาได้รับความสนใจจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป เคยถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งที่จะเข้ามาทำงานแทน เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี
นี่คือมุมมองของ “พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” ที่ตีแผ่การทำงานของโค้ชผู้นี้ผ่านทางเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือว่าน่าสนใจอย่างมากกับเส้นทางใหม่ของทั้ง แมนฯยูไนเต็ด และตัวของ อโมริมเอง…………….
l ประวัติเส้นทางโค้ช
อโมริม เข้าร่วมหลักสูตรอบรมโค้ชหลังแขวนสตั๊ดเมื่อปี 2016 เคยมาฝึกงานกับ โชเซ่ มูรินโญ่ สมัยคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นเวลา 1 สัปดาห์
เริ่มเทิร์นโปรคุม คาซ่า เปีย ในระดับดิวิชั่น 3 เป็นสโมสรแรกในฤดูกาล 2018-19 แต่อยู่กับทีมได้ไม่กี่เดือน ถูกสั่งพักงานเพราะยังไม่มีใบอนุญาตโค้ช ทำให้ในเวลาต่อมาเขาตัดสินใจลาออกจากทีม โดยไปเริ่มงานใหม่ด้วยการคุมทีมสำรองของ สปอร์ติ้ง บราก้า ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเส้นทางโค้ช เพราะอีก 3 เดือนต่อมา
ทีมได้มีการปลดกุนซือชุดใหญ่อย่าง ริคาร์โด้ ซา ปินโต้ ออกจากตำแหน่ง ทำให้ รูเบน อโมริม ได้ก้าวขึ้นมาคุมทีมด้วยวัยเพียง 34 ปี
ผลงานโดดเด่นชนะได้ถึง 10 จาก 13 เกมที่คุมทีม พร้อมคว้าแชมป์บอลถ้วย จนในเดือนมีนาคมปี 2020 สปอร์ติ้ง ลิสบอน ยอมควักเงินจำนวน 10 ล้านยูโร เป็นค่าฉีกสัญญาดึง อโมริม เข้าไปคุมทีม ถือว่าเป็นค่าชดเชยผู้จัดการทีมที่แพงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของวงการฟุตบอลโปรตุเกส
ในซีซั่นแรกเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ทีมจบอันดับ 4 ของตาราง แต่ในปีต่อมา 2020-21 เขาสามารถพาทีมผงาดคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี พร้อมบอลถ้วยอีก 1 รายการ และสอยรางวัลกุนซือยอดเยี่ยมประจำปี จากนั้นก็ได้แชมป์ลีกเมื่อซีซั่นที่แล้ว 2023-24 บอลถ้วย 2021-22
l ระบบที่ถนัด-สูตรเดียวก็เสียวได้
ระบบการเล่นที่ รูเบน อโมริม เลือกใช้งานคือ 3-4-3 มีสไตล์คือเน้นในเรื่องของการครองบอลเป็นหลัก แนวรับทั้ง 3 ตัว สามารถสร้างเกมจากแนวลีกได้ทันที ซึ่งสต็อปเปอร์ซ้ายและขวามักจะขึ้นไปช่วยเติมเกมรุกอยู่บ่อยๆ ทำให้สามารถกดคู่แข่งได้อย่างอยู่หมัด ในเวลานั้นคู่มิดฟิลด์จะคอยถอยสลับลงมาคุมพื้นที่และคอยออกบอล
อีกจุดที่น่าสนใจในยามที่ถูกคู่แข่งเข้าเพรสซิ่งจากแดนบนตัวของเซ็นเตอร์แบ๊กที่อยู่ตรงกลางอย่าง เซบาสเตียน โกอาเตส จะขยับขึ้นมาเพื่อคอยรับบอลจากเพื่อน ส่วน 2 มิดฟิลด์จะถ่างออกด้านข้าง เพื่อให้เพื่อนมีตัวเลือกในการจ่ายบอลมากขึ้น
วิงแบ๊กทั้งสองฝั่งจะมีความยืดหยุ่นสามารถขยับเติมไปข้างหน้าเพื่อดึงตัวประกบ หรือถอยลึกมาเป็นตัวรองในบริเวณพื้นที่มุมธง ส่วนวิงแบ๊กที่อยู่ด้านไกล ตัวนี้จะมีอิสระในการรับบอลยาว จะเติมขึ้นไปด้านบน หรือถอยมาช่วยเพื่อนแกะการเพรสขึ้นอยู่ตามสถานการณ์
อย่างไรก็ตามการเล่นแบบนี้มักจะมีความเสี่ยงอยู่เสมอ เพราะถ้าแกะเพรสไม่ออกจะมีพื้นที่ให้คู่แข่งโจมตีได้ทันที ดั่งที่เคยได้รับบทเรียนจากการดวลกับ อตาลันต้า ในฟุตบอลยูโรป้า ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้ว
l การทำงานของ 3 แนวรุก
ในยามที่เซตบอลเล่นเกมรุก 3 ตัวด้านในในอดีตเคยใช้ มาร์คัส เอ็ดเวิร์ด, เปโดร กอนคาเวส และฟรานซิสโก้ ตรินเกา ทั้ง 3 คนนี้ขยับเข้าใกล้มาเล่นร่วมกันทำเชฟเป็นรูปสามเหลี่ยม เพื่อเปิดพื้นที่ด้านข้างให้กับ วิงแบ๊กทั้งสองฝั่งได้เติมขึ้นไปรับบอลจากการวางแนวลึกหรือการเคาะเพื่อหาช่องว่างแทงบอลเข้าโจมตี
ดังนั้นการเล่นผู้เล่นในตำแหน่งเป็นเรื่องสำคัญที่ อโมริมค่อนข้างลงรายละเอียด โดยเฉพาะความสามารถในการดึงตัวประกบออกจากพื้นที่ป้องกัน
นอกจากนี้ ผู้เล่นวิงแบ๊กสองฝั่งก็ต้องมีความสามารถในการดวล 1 ต่อ 1 ได้ดีด้วย ซึ่งในชุดปัจจุบันก็ยังคงเล่นแบบนั้น แต่รูปแบบของแทคติกจะเปลี่ยนไปเพราะมีกองหน้าธรรมชาติอย่าง วิคเตอร์ เกียวเคเรส ที่ดูจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นตอบโจทย์ในเรื่องของการจบสกอร์
เท่ากับว่าเขาแบ่งเชฟผู้เล่นเกมรุกและรับหลักๆ คืออย่างละ 5 คน เกมรุกมี 3 ตัวบน บวกวิงแบ็ค 2 ฝั่ง ส่วนกลาง 2 คน คอยเก็บบอล และอาจจะมีคนใดคนหนึ่งวิ่งเสียบในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อไปช่วยเพื่อนทำประตู
l เพรสซิ่งอย่างหนักหน่วง
ในยามที่ไม่ได้ครอบครองบอล สปอร์ติ้ง ลิสบอน ของ รูเบนอโมริม ถูกยกให้เป็นหนึ่งในทีมที่มีการเพรสซิ่งกดดันในแดนคู่แข่งมากที่สุดในลีกโปรตุเกส แนวรุกทั้ง 3 คน และเดินขยับเข้ามาเป็นกลุ่มเพื่อปิดพื้นที่ไม่ให้คู่แข่งจ่ายบอลเข้ากลาง ตัวหน้าเป้าจะเป็นคนคุมพื้นที่บริเวณหัวกะโหลกของคู่แข่ง เพื่อบีบไม่ให้จ่ายบอลเข้ากลางได้ง่ายๆ
ส่วน 2 คนที่ใกล้บอลจะวิ่งเข้าไปบีบให้ก่อน คอยเคลื่อนที่ไปตามลูกฟุตบอล แต่ทั้ง 3 ตัวบน สามารถสับเปลี่ยนตำแหน่งในการเข้าเพรสซิ่งคู่แข่งได้ตามสถานการณ์ ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ก็จะเดินขึ้นมาตามประกบคู่แข่งแบบตัวต่อตัวบีบพื้นที่ให้เล่นยากที่สุด เพื่อเอาบอลกลับมาครอบครอง
อย่างไรก็ตาม การเพรสแบบดุดันแบบนี้ก็ทำให้ทีมของเขาเสียประตูอยู่บ่อยครั้ง เพราะถ้าคู่แข่งแกะได้ หรือผู้เล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ถูกดึงออกจากพื้นที่ในไลน์แนวรับมักจะเสียหายส่งผลถึงการเสียประตูได้ทันที ดังนั้นคู่มิดฟิลด์ต้องมีความเข้าใจเล่นร่วมกับ 3 แนวรับได้เป็นอย่างดี ขนาดใช้คู่มิดฟิลด์ที่เด่นในเรื่องเกมรับอย่าง มอร์เท่น ยุลมันด์ และฮิเดมะสะ โมริตะ ยังแก้ไม่ตกในจุดนี้
l การวางโซนแนวรับ
เมื่อถูกคู่แข่งครอบครองบอลสร้างเกมเข้าใส่ ในยามที่ต้องตั้งโซน รูเบน อโมริม มักจะวางเชฟเกมรับเป็น 5-2-3 หรือบางครั้งก็ใช้ 5-4-1 เน้นไปที่การป้องกันบริเวณกลางสนาม ในรูปแบบของระบบ 5-2-3 จะเป็นการบีบให้คู่แข่งไปขึ้นบอลทางด้านข้างเป็นส่วนใหญ่
เมื่อแผนได้ผลนี้วิงแบ๊กฝั่งที่อยู่ไกลจากลูกฟุตบอลจะเป็นตัวที่ขยับเข้ามาใกล้กับ 3 แนวรับ ยืนในระนาบเดียวกัน สร้างกับดักเช็คล้ำหน้า 2 คู่มิดฟิลด์จะคอยเดินกระชับพื้นที่โล้ตัวไปตามบอล โดยมีแนวรุกตัวบนคอยวิ่งเข้ามาปิดพื้นที่ว่างอีกที ส่วนตัวที่ใกล้บอลที่สุดจะเป็นคนไล่กดดันให้ก่อน
ซึ่งการเล่นในแต่ละแท็กติกล้วนมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นเสมอ แต่ รูเบน อโมริม มองว่าวิธีนี้คุ้มที่จะเสี่ยงเพราะใช้ได้ผลในลีก แต่ในเวทีระดับยุโรปยังคงเป็นเครื่องหมายคำถาม
ว่ากันว่า มานูเอล อูการ์เต้ น่าจะมีบทบาทกับทีมมากขึ้น เพราะตัวนี้ก็แจ้งเกิดมาจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน ของ รูเบน อโมริมรวมไปถึงจอมทัพอย่าง บรูโน่ เฟอร์นานเดส ที่แม้จะไม่ทันร่วมงานกัน แต่ก็เป็นคนสัญชาติโปรตุเกสเหมือนกัน และเคยทำงานในที่เดียวกัน
นี่คือบทวิเคราะห์จากพรีเมียร์ลีก
........ทีนี้มาว่ากันถึงการเป็นกุนซือคนที่ 6 หลังหมดยุคเซอร์
รูเบน อโมริม ถูกแต่งตั้งให้เป็น “เฮดโค้ช” ไม่ใช่เป็น “ผู้จัดการทีม” ซึ่งเป็นการบริหารในแบบฉบับสไตล์ยุโรป ที่ไม่เริ่มคืบคลานเข้ามาอยู่ในเกาะอังกฤษตามวิธีและวิถีของฟุตบอล
รายละเอียดจากหลายแห่งตรงกันนั่นคือ อโมริม จะเข้ามาทำงานที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2024 และเซ็นสัญญาจนถึงเดือนมิถุนายน 2027 โดย สปอร์ติ้ ลิสบอน ระบุว่าพวกเขาได้รับเงินในการปล่อย อโมริม ไปให้กับ ยูไนเต็ด ที่ 11 ล้านยูโรหรือ 9.25 ล้านปอนด์
นับเป็นกุนซือคนที่ 6 อย่างเป็นทางการที่มาทำงานต่อจากหมดยุค 26 ปี ของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือที่วางมือไปเมื่อปี 2013
งานแรกของ อโมริม จะเปิดตัวในเกมเจอกับ อิปสวิช ทาวน์ ในศึกพรีเมียร์ลีก ที่พอร์ตแมน โร้ด วันที่ 24 พฤศจิกายน จากนั้นจะได้คุมทีมแข่งในโอลด์ แทรฟฟอร์ด หนแรก กับ โบโด กลิมท์ ในศึกยูฟ่า ยูโรป้า ลีก
ขณะที่ทีมงานนั้น ยังไม่มีใครตอบได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับ รุด ฟาน นิสเตลรอย แต่ที่แน่ ๆ กระแสข่าวก็คือ อโมริม จะนำทีมงานมาแบบ “เต็มวง” ถึง 5 คน นั่นคือ คาร์ลอส เฟอร์นานเดส วัย 29 ปี และอเดลิโอ คานดิโด้ วัย 28 ปี ที่อยู่กันมาตั้งแต่ คาซ่า เปียต่อด้วย เอ็มมานูเอล แฟร์โร่ วัย 45 ปี และเปาโล บาร์เรยร่านักวิทยาศาสตร์การกีฬา คือชื่อ 4 คนแรก
หลายคนอาจจะตั้งคำถามที่ว่า นักเตะของแมนยูฯ กับระบบของ อโมริม ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
ทีนี้ก็น่าจับตามองต่อไปว่า อโมริม นั้น จะแก้ไข, ปรับปรุง และทำงานตามแบบฉบับของตัวเองกับลูกทีมใหม่ กับสถานที่ใหม่ได้เร็วแค่ไหน
กับเส้นทางที่บรรจบกับบอลอังกฤษ....ซะที
ซึ่ง รูเบน อโมริม เคยเป็นข่าวจนคนรู้จักไปทั่วโลกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กับการ “ตกเป็นข่าว” กับ ลิเวอร์พูล หลังจากการอำลาตำแหน่งของ เจอร์เก้น คล็อปป์
ไม่รู้ใครตกเป็นเหลี่ืยมใคร สุดท้ายภาพหลุดออกมาว่า อโมริมบินมาเองและพบกับตัวแทนของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในเดือนเมษายน ที่ผ่านมา โดยมีมุมมองที่จะเข้ามาแทนที่ เดวิด มอยส์ ในตำแหน่งผู้จัดการทีมขุนค้อน และขาดการติดต่อในหน้าข่าวกับ ลิเวอร์พูล นับจากนั้นในทันที
ต่อมาเขาได้ออกมาขอโทษสำหรับการเดินทางไปลอนดอนโดยกล่าวว่ามันเป็น “การไม่ให้เกียรติ” และ “ความผิดพลาด” ที่เขาก่อให้เกิดขึ้นและจะไม่ทำอีก
ที่ผ่านมา เชลซี เคยแสดงความสนใจในตัวอาโมริมหลังจากที่เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ จากไปเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลที่แล้ว อีกทีมหนึ่งด้วย เท่ากับว่า เขามีชื่อไปเกี่ยวพันกับ 3 ทีมก่อนจะลงเอยกับ ยูไนเต็ด
สำหรับผมเองที่ติดตามการคุมทัพของเขาทันทีที่รู้ข่าวว่า เป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่โผล่มาเป็น “หนึ่งในตัวแทนของ คล็อปป์” ด้วยการหาดูคลิปต่างๆ ในการคุมทัพ การวางแผนจัดตัว วิธีการ และประวัติต่างๆ
จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ที่แน่ๆ รูเบน อโมริม ได้ทำการเขียนชื่อของเขาด้วยตัวอักษรสีทองในประวัติศาสตร์ของสโมสรสปอร์ติ้ง ลิสบอน เอาไว้หมดแล้ว
ทาบกันกับฟอร์มปัจจุบันของ “ปีศาจแดง” ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นข้ออ้างในการเข้ามาทำงาน
แต่ที่นี่อาจจะมีไม่ถึง “3 ป.”แต่มี “2 ป.” แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ อโมริม กระโดดเข้ามาคุมทัพที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด แล้ว
ป.แรก คือ “ประวัติศาสตร์” ที่เป็นของเดิม และ ป.ที่สอง คือ “โปรเจกท์” ที่เป็นของใหม่
อโมริม จะเป็นหนึ่งในพรีเซ็นเตอร์สำคัญของโปรเจกท์นี้ เพราะสโมสรกำลังจะสร้าง “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ขึ้นมาใหม่ แน่นอนว่า เขาจะเป็นหนึ่งในคนสำคัญ
เขาจะมีเวลากำหนดแนวทางการเล่นโดยไม่ต้อง “กลัว” โดนไล่ออก หากการเริ่มต้นนั้นเกิด “การผิดพลาด”
เพราะถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อคุณจะเดินเข้าไปในที่ที่มัน“ลุกเป็นไฟ” และ “แย่อยู่แล้ว”
ตรงข้ามหากคุณเริ่มต้นและได้ผล คุณถูกยกให้จะเป็นอัจฉริยะในไม่ช้า(บางทียังไม่ทันเริ่มงานด้วยซ้ำไป)
ผมคิดว่าการเข้าร่วมทีมตอนนี้จะมีประโยชน์ต่อตัวเขามากกว่าผลเสีย การเข้าร่วมกับสโมสรที่อยู่ในช่วงประสบความสำเร็จ กำลังคว้าแชมป์ อย่างเช่น แมนฯซิตี้ หรือจะมาต่อยอดการทำงานของเจอร์เก้น คล็อปป์ กับ ลิเวอร์พูล
มันจะเหมือนกับตอนที่เขามาถึง สปอร์ติ้ง ลิสบอน เพราะสโมสรจะต้องเกิดใหม่ และเริ่มใหม่
แต่มีข้อแตกต่างอย่างสิ้นเชิงก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีเงินมากมายกว่า สปอร์ติ้ง ลิสบอน, มีความกดดันมากกว่า,มีความคาดหวังมากกว่า และ และ และ มีอะไรที่มากกว่าบานตะไทให้อวัยวะที่เรียกว่า “บ่า” จะต้องทำการ “แบก”
ซึ่งมันแปลกดีที่แม้จะ “มีข่าว” กับ ลิเวอร์พูล เคยมีอัตราผ่าโลก 1-4 (จิ้ม 4 คืนแค่ 1) มาแล้ว แต่สุดท้าย หงส์แดงกลับชอยต์สตำแหน่งกุนซือเป็น อาร์เน่อ สล็อต และเวสต์แฮม ที่มีโอกาสเจรจา ก็เลือกที่จะไม่อยากจ่ายค่าฉีกสัญญาของเขา ก่อนจะไปลงเอยกับ ฆูเลน โลเปเตกี
ดังนั้นอาจจะ หรือต้องมีอะไรบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับตัวเขาอย่างแน่นอน
ทีนี้มาถึง ไดนามิกของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ อโมริม คือคำถามที่รอคำตอบ
ทีมที่ไม่เคยเล่นระบบ 3-4-3 หรือ 3-4-2-1 ซึ่งเป็นปรัชญาของ อโมริม แต่ในทางตรงกันข้ามกับความเชื่อที่นิยมกัน เป็นไปได้หรือไม่ที่ ยูไนเต็ด ทีมนี้เหมาะสมกับแพลนเกมดังกล่าวนี้ของกุนซือใหม่ ทั้งที่เล่นสไตล์ไลน์โฟร์มาตลอดชีวิต
ระบบที่จะต้องใช้ความเข้าใจในวิธีการเป็นหัวใจหลัก กล่าวคือ......
3 เซ็นเตอร์แบ๊กโควเวอร์, วิงแบ๊กที่พลังเหลือเฟือ โดยเฉพาะการขึ้นเกมได้, นักบอลในตำแหน่งแกนหมุนสองตัวในแดนกลาง หรือ Deep midfield passer
ขณะที่คุณภาพ 3 แนวรุกที่ทำลายล้าง ที่สามารถเล่นได้ทั้งหน้าแคบและหน้ากว้างที่เรียกว่าเป็นแนวรุกแบบไฮบริด หรือ Winger/10 Hybrid
อีกทั้งเกมเพรสซิ่งตั้งแต่แดนบน นั่นคือ กองหน้าเล่นเป็นกองหลังตัวแรก นั่นคือสิ่งที่ ยูไนเต็ด ไม่เคยมี และไม่เคยทำ
สำคัญก็คือ นำความเป็น “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สไตล์” ในความเป็นเจ้าของเพลงเตะที่แฟนบอลคลั่งไคล้ในปรัชญาเกมรุก กลับมาให้ได้โดยเร็ว
มีอะไรกองอยู่ข้างหน้า กวักมือเรียกเต็มไปหมดจริงๆ
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี