4 แข้งพังประตูแรกในสีเสื้อของ “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษ ในเกมสุดท้ายของลี คาร์สลีย์ ในฐานะผู้จัดการทีมชั่วคราว พร้อมกับตีตั๋วกลับมาสู่ระดับสูงสุดของเนชั่นส์ลีก ระดับ A ได้อีกครั้ง ด้วยการทุบ “ยักษ์เขียว” ทีมชาติสาธารณรัฐไอร์แลนด์ 5-0 ที่สนามนิว เวมบลีย์

เกมสุดท้ายของลี คาร์สลีย์ ก่อนจะส่งไม้ต่อให้กับ โทมัส ทูเคิ่ล ซึ่งเริ่มงานในวันที่ 1 มกราคม หลังจากชนะไป 5 จาก 6 เกม โดยอังกฤษ ต้องรอจนถึงครึ่งหลัง เมื่อได้เปรียบในสถานการณ์ เมื่อ ไอริช เหลือ 10 คน ในจังหวะที่ จู๊ด เบลลิ่งแฮม โดน เลียม สเกลส์ ทำฟาวล์ ทำให้กองหลังรายนี้ได้รับใบเหลืองใบที่สองและโดนไล่ออกจากสนาม

แฮร์รี่ เคน ยิงจุดโทษเข้าไปได้สำเร็จนาทีที่ 53 เป็นประตูที่ 69 จากการเล่นทีมชาติ 103 นัด จากนั้นมาทำเพิ่มอีก 4 ประตู เป็น 4 ประตูแรกในฐานะนักเตะทีมชาติจาก 4 คน นาทีที่ 55 แอนโธนี่กอร์ดอน ตัวรุกจากนิวคาสเซิ่ล, คอนอร์ กัลลาเกอร์กองกลางจากแอตเลติโก มาดริด นาทีที่ 58, จาร์ร็อดโบเว่น จากเวสต์ แฮม นาทีที่ 76 และ เทย์เลอร์ฮาร์วูด-เบลลิส กองหลังดาวรุ่งจากเซาแธมป์ตันซึ่งเป็น “ว่าที่” ลูกเขยในอนาคตของ รอย คีนอดีตกัปตันทีมชาติไอร์แลนด์ นาทีที่ 79

ทางด้าน เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาลันด์ซัดแฮตทริกช่วยให้ “ไวกิ้งส์” ทีมชาตินอร์เวย์ถล่มคาซัคสถาน 5-0 เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดของเนชั่นส์ลีก เช่นกัน กองหน้าแมนเชสเตอร์ซิตี้ ซึ่งสร้างสถิติดาวซัลโวสูงสุดของประเทศเมื่อเดือนที่แล้ว และเวลานี้ยิงไปแล้ว 38 ประตู จากการลงสนาม 39 นัด ให้กับนอร์เวย์ ทำให้เขาคือผู้ทำประตูสูงสุดในเนชั่นส์ลีก โดยยิงไป 7 ประตู จากการลงสนาม 6 นัด ในรอบแบ่งกลุ่ม

ฟากฝั่ง “ไก่ทองคำ” ทีมชาติฝรั่งเศสบุกไปเอาชนะ ทีมชาติอิตาลี 3-1 ที่ซาน ซิโร่คว้าแชมป์ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก กลุ่ม เอ 2 พร้อมกับเอาคืนทบต้นทบดอก หลังจากที่ อิตาลี เคยบุกชนะพวกเขาสกอร์เดียวกัน 3-1 ที่ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ เมื่อเดือนกันยายน นี่คือความพ่ายแพ้และเสียประตูในบ้านมากสุดของอิตาลี นับตั้งแต่แพ้สวีเดน 0-3 เมื่อปี 1983