แผลที่ศีรษะและใบหน้าของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มันบ่งบอกอะไรได้หลายอย่างยิ่ง

ถือเป็นเรื่องใหญ่ และไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะครับ

ผู้สื่อข่าวถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่า “ผมอยากทำร้ายตัวเอง!!!!!”

………..อันนี้ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

เหตุการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้นในช่วงท้ายเกมหลังจากที่ทีมออกนำ 3-0 แต่โดน เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม จากเนเธอร์แลนด์ ไล่ตีเสมอ 3-3 ในศึกแชมเปี้ยนส์ลีก

สถานการณ์และเวลานี้ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตึงเครียดอย่างมาก

6 เกมล่าสุดของแมนเชสเตอร์ ซิตี้...แพ้ ท็อตแน่ม 1-2, แพ้ บอร์นมัธ 1-2, แพ้ สปอร์ติ้ง 1-4, แพ้ ไบรท์ตัน 1-2, แพ้ ท็อตแน่ม 0-4 และ เสมอ เฟเยนูร์ด 3-3

นี่เป็นหนแรกในรอบ 942 เกมที่ เป๊ป คุมทีมแล้วมีโอกาสนำ 3-0 สุดท้ายกลับไม่ชนะ

เป๊ป ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาทั้งชีวิต

วิเคราะห์ออกมามี 4 ประเด็นที่เล็งเห็นจากเกมนี้ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม

1.ผลและสถิติที่ไม่เป็นใจ

“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาจจะหยุดเลือดไว้ที่แพ้ 5 นัดรวดก็จริงแต่นำ 3-0 กลับมาเสมอ 3-3 นี่น่าประหลาดยิ่ง!!!!!

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ ลีก เฟสนัดที่ 5 “เรือใบสีฟ้า” แมนฯ ซิตี้ ที่แพ้รวดมา 5 นัด ได้ผลเสมอ เฟเยนูร์ด 3-3

ซิตี้ ได้ 2 ประตูจาก เออร์ลิ่ง เบราท์ฮาลันด์ และอีก 1 เม็ดจาก อิลคาย กุนโดกันนำขาด 3-0 ในนาที 53 แต่ เฟเยนูร์ด มาได้3 ประตูรวดจาก ฮัดจิ มุสซ่า นาทีที่ 75, ซานติอาโก้ ฆิมิเนซ นาทีที่ 82 และดาวิด ฮันซ์โก้ นาที 89

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ทำประตูนำ 3 ลูกได้จนถึงนาทีที่ 75 และไม่สามารถคว้าชัยชนะได้ ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างมาก

ซิตี้ เสียสองประตูขึ้นไปจาก 6 นัดติดต่อกันในทุกรายการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 1963

ซิตี้ เก็บคลีนชีตไม่ได้ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม ซึ่งครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเก็บชัยชนะได้หวุดหวิด 1-0 เหนือเซาแธมป์ตัน

ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาเสียไป 17 ประตูจาก 6 นัด

สถิติที่น่าประหลาดใจนี้ เมื่อพิจารณาถึงความสำเร็จของพวกเขาภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นั้นถูกสร้างขึ้นบนรากฐานการป้องกันที่แข็งแกร่ง ตอนนี้พังจากแดนมิดฟิลด์

2.โรดรี้ แบล็คโฮล

การใช้ มาเตอุส นูเนส กับ อิลคายกุนโดกัน เป็นหลักแทนที่อาการบาดเจ็บหนักของ โรดรี้ ในตำแหน่งมิดฟิลด์ ไม่ใช่คำตอบ

เป๊ป พยายามใช้วิธีวิ่งโอเวอร์โหลดของ แบร์นาโด้ ซิลวา มาช่วย แต่ไม่เกิดผลเนื่องจากเป็นการออกจากพื้นที่ของ นูเนส ไม่ใช่เข้ามาช่วยซ้อนพื้นที่ที่มีคนยืนอยู่ และแบร์นาโด เอง ถูกบล็อกไลน์อย่างมีนัยสำคัญในครึ่งหลัง

โดยเฉพาะการไลน์การเคลื่อนตัวของ สองกองกลางคนสำคัญของอาคันตุกะนั่นคตือ ควินเตน ทิมเบอร์ คู่แฝดของเยอร์เรี่ยน ที่อยู่กับ อาร์เซน่อล และฮวาง อิน บอม ที่เริ่มเล่นแบบไม่มีอะไรจะเสีย

อีกอย่างก็คือ นักเตะของ ซิตี้ในเกมแดนบนทั้ง 5 คนปรากฎว่า เป็น “ตัวเคลื่อน” ทั้งหมด นูเนส, อิลคาย,แบร์นาโด้, ฟิล โฟเด้น และแจ๊ค กรีลิช

เมื่อเข้าป่าแต่ไม่มีเข็มทิศก็ลำบากทันที

3.ความผิดพลาดส่วนบุคคล

ไม่น่าเชื่อว่า ซิตี้ จะเสียประตูง่ายมากๆ นั่นเพราะการผิดพลาดส่วนบุคคลอีกครั้ง

ประตูแรก ยอสโก้ กวาดิโอล เล่นผิดพลาดอย่างน่าตกใจ เมื่อไปยกบอลคืนหลังแบบนั้นได้ยังไง

ประตูที่สอง เจมส์ แม็คอาร์ตี้ ดาวรุ่งถูกปล่อยให้ถูกรุมกินโต๊ะ จะโทษเด็กได้มั้ยก็ได้ แต่หนทางการออกบอลตอนนั้นไม่มี จนโดนการเล่นบอลหน้าไลน์ที่รวดเร็วของ เฟเยนูร์ด ทำให้ได้ประตู

ประตูที่สาม เมื่อเราดูเหลี่ยมกันอีกทีก็จะไม่พูดกันอีกว่า เอแดร์ซอน ทำถูกที่ออกมาตัดเกม

เหลี่ยมนี้ต้องถามว่า จะออกมาทำไม ไม่มีประโยชน์เลย และไม่ใช่ครั้งแรกด้วยที่ เอแดร์ซอน รุ่มร่ามขนาดนี้

4.การเปลี่ยนตัวเกี่ยวหรือไม่

จาห์ไม ซิมป์สัน-พูซี่ย์ ลงแทน นาธาน อาเก้, เควิน เดอ บรอยน์ ลงแทน อิลคาย กุนโดกัน และเจมส์ แม็คอาตี้ ลงแทน ฟิล โฟเด้น

โดยปกติ เป๊ป จะไม่เปลี่ยนตัวแบบนี้เมื่อเหลืออีก 20 นาทีสุดท้าย แต่เราเข้าใจได้ตรงที่ว่า ทำไมต้องเปลี่ยน

นั่นก็คือขนาดทีมที่เล็กลงไปเยอะ และการนำไปแล้ว 3-0 จึงไม่แปลกที่จะเปลี่ยน

เป๊ป ยังบอกเลยว่า นำ 3-0 แล้วเปลี่ยนตัวไม่ใช่ประเด็นของการไม่ชนะ

“ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องของจิตใจหรือเปล่า” กวาร์ดิโอล่า กล่าว และเราเห็นได้ชัดเจนว่า เขาหงุดหงิดกับฟอร์มการเล่นของลูกทีมมาก

มากจนถึงกับข่วนหน้าข่วนหัวตัวเองจนเลือดออก

บี แหลมสิงห์