บทบาทของภาครัฐในการส่งเสริมการลด Water Footprint
ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการลด Water Footprint ผ่านนโยบายและมาตรการต่างๆ ดังนี้:
1. การกำหนดนโยบายและเป้าหมาย: รัฐบาลควรกำหนดนโยบายระดับชาติในการลด Water Footprint พร้อมตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกภาคส่วนดำเนินการ
2. การออกกฎหมายและระเบียบ: ภาครัฐควรออกกฎหมายและระเบียบที่ส่งเสริมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การกำหนดมาตรฐานการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และครัวเรือน
3. การให้แรงจูงใจทางการเงิน: รัฐบาลสามารถใช้มาตรการทางการเงินเพื่อส่งเสริมการลด Water Footprint เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ธุรกิจที่ลงทุนในเทคโนโลยีประหยัดน้ำ หรือการสนับสนุนเงินทุนสำหรับโครงการอนุรักษ์น้ำ
4. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: ภาครัฐควรลงทุนในการพัฒนาและปรับปรุงระบบชลประทาน ระบบบำบัดน้ำเสีย และโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและลดการสูญเสีย
5. การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา: รัฐบาลควรสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีประหยัดน้ำและนวัตกรรมการจัดการน้ำ ผ่านการให้ทุนวิจัยและการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา
6. การให้ความรู้และสร้างความตระหนัก: ภาครัฐควรจัดทำโครงการให้ความรู้และรณรงค์สร้างความตระหนักเกี่ยวกับความสำคัญของการลด Water Footprint แก่ประชาชนทั่วไป นักเรียน นักศึกษา และผู้ประกอบการ
7. การส่งเสริมการใช้เครื่องมือวัด Water Footprint: รัฐบาลควรส่งเสริมการใช้เครื่องมือวัด Water Footprint ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจปริมาณการใช้น้ำและสามารถวางแผนลดการใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8. การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ: ภาครัฐควรร่วมมือกับนานาชาติในการแลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี และแนวปฏิบัติที่ดีในการลด Water Footprint รวมถึงการร่วมมือในการจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน
9. การติดตามและประเมินผล: รัฐบาลควรจัดทำระบบติดตามและประเมินผลการดำเนินนโยบายลด Water Footprint อย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงมาตรการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
10. การเป็นแบบอย่าง: หน่วยงานภาครัฐควรเป็นแบบอย่างในการลด Water Footprint โดยการนำมาตรการประหยัดน้ำมาใช้ในอาคารและการดำเนินงานของหน่วยงาน
การดำเนินการตามบทบาทเหล่านี้จะช่วยให้ภาครัฐสามารถส่งเสริมการลด Water Footprint ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การใช้ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ประเทศไทยมี Water Footprint ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในภาคการเกษตร เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการทำการเกษตรเป็นหลัก และมีการส่งออกสินค้าเกษตรจำนวนมาก Water Footprint โดยเฉลี่ยของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 2,223 ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ประมาณ 1,385 ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี สำหรับประเทศไทยภาคการเกษตรมีสัดส่วนการใช้น้ำสูงที่สุด โดยเฉพาะการปลูกข้าวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักการผลิตอาหารและเครื่องดื่มเป็นอุตสาหกรรมที่มี Water Footprint สูง การท่องเที่ยวซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของไทยก็มีผลต่อ Water Footprint เช่นกัน ในเขตเมืองใหญ่ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร มีการใช้น้ำในปริมาณมาก ปัญหาภัยแล้งและการจัดการน้ำมีผลกระทบต่อ Water Footprint ของประเทศ
ธนพล ธนากรโยธิน
ศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพชีวภาพ
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี