“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ผู้พันฝูง ที่เหลือ 10 คน ตั้งแต่ 17 นาทีแรก ด้วยสถานการณ์ที่ตามหลัง ก่อนจะไล่ตีเสมอ 2 ครั้ง 2 ครา แบ่งแต้ม “เจ้าสัว” ฟูแล่ม อาคันตุกะจากลอนดอน 2-2 ที่แอนฟิลด์ นำรองฝูง เชลซี 5 แต้ม

ตายยากจริงๆ ครับจ่า!!!!!!

1.บุคลิกแห่งเลือดนักสู้

การกลับมาคว้าคะแนน แสดงออกถึงบุคลิกของ “เร้ดแมน”

การตามหลัง 2 ครั้ง และกลับมาได้ทั้งสองคราเกือบจะชนะอีกด้วย นี่คือบุคลิกที่แฟนฟุตบอลโปรดปราณและคุ้นชิน

บางคนบอกว่า มาจาก ดีเอ็นเอของ เยอร์เก้น คล็อปป์....ซึ่งก็ถูกต้อง นักบอลชุดนี้ปั้นมาจากมือของเขายกคณะ

แต่มาจากการปลุกเร้าและการเสี่ยงของ อาร์เน่อ ชล็อต ซึ่งก็ถูกต้องด้วยเช่นกัน

แต่นี่ถึงว่าทำไมแฟนบอลถึงชอบ ลิเวอร์พูล เพราะพวกเขามักจะมีการเล่นแบบนี้อยู่เสมอ ๆ

ชล็อต เองกล้าที่จะ "ดีเดือด"

การปรับทัพไปมาตามสถานการณ์ หลังจากเขาเหลือ 10 คน ต้องหาทางแก้ไขไปมาอยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนจะทำตามสถานการณ์ก็คือ ระบบกองหลัง 3 คนดูจะสมบูรณ์แบบที่สุด หลังจากพยายามปรับไปมาถึง 4 รอบ

ก่อนที่จะจัดทัพหนสุดท้ายคือ 3-1-5 ที่ถือว่าบ้าคลั่งดี เพราะแนวรุกให้ ดีโอโก้ โชต้า ค้ำบนสุด โดยมี ดาร์วิน นูนเญซ ถอยมายืนเป็นสไตรคเกอร์ตัวหลัง เพื่อลงมาช่วยไล่ แล้วให้ หลุยส์ ดิอาซ ยืนซ้าย และให้ โม ซาลาห์ อยู่ขวา โดยมี ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ยืนตัวรุกทิ้งไปทางขวา

บ้าจริงเชียว!!!!!!

**********************

2.’แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน’

ประเด็นนี้น่าสนใจเพราะ โรเบิร์ตสัน อาการไม่ค่อยดีมาจาก 3 เรื่อง

1.กรำศึกหนักต่อเนื่อง

ไม่มีตัวเปลี่ยนจากการที่ คอนสแตนตินอส ซิมิกาส บาดเจ็บ ทำให้ตำแหน่งนี้ไม่ได้สลับ ให้กับลิเวอร์พูล 6 เกมรวด บวกทีมชาติ

2.อาการเจ็บจากนาทีแรกของเกม

เขาถูกถีบเข้าใส่ที่ขาจาก ดิย็อป ซึ่ง ชล็อต เองก็ระบุว่า  ร็อบโบ้ ลงไปกองกับพื้นตั้งแต่ 30 วินาที ผมคิดว่าเขามีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย และอาจจะเล่นต่อไม่ไหว เพราะปกติแล้วเขามีสปีดที่รวดเร็วกว่านี้

3.ความผิดพลาดด้วยตัวเอง

มันผิดพลาดจากจังหวะจับบอล ในช่วงที่หันหลังจากการดันไลน์ ซึ่งการจับบอลแบบนั้นมีโอกาสผิดพลาดสูง และพลาดจริง ๆ ให้กับ แฮร์รี่ วิลสัน อดีตเด็กหงส์ ที่มักจะเล่นดีเวลากลับมาแอนฟิลด์ แต่เวลาอื่น ก็ไม่เห็นจะดีจะเด่อะไรเลย

เท่ากับว่า ใบแดงนั้นถูกต้องหรือไม่ ตอบได้เลยว่า “ถูกต้อง”

แต่นั่่นมันอาจจะมาจากการ “แบกศึก” ของ ร็อบโบ้ ก็เป็นได้

**********************

3.การกลับมาของ โชต้า

โชต้า ถือเป็นนักเตะคนหนึ่งที่มีความโชคร้ายอย่างมาก มักจะได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาสำคัญบ่อยครั้งมาก ๆ โดยมาอยู่กับลิเวอร์พูล เขาต้องพักไปแล้ว9 ครั้ง ไม่ได้ลงสนามมากกว่า 70 เกม

อาการเจ็บครั้งหลังสุดนั่นคือ โดนล้มทับในเกมกับ เชลซี หายหน้าไปยาวถึง 11 เกม ตั้งแต่ 20 ตุลาคม 2024

มีมุมสำคัญคือ ทำให้สถานการณ์มันดีขึ้น 2 เรื่อง

1.ความเฉียบคมจากตัวเขากลับมา ทำให้แนวรุก ลิเวอร์พูล มีทางเลือก และมีมิติมากขึ้นอีกครั้ง อาจจะใช้คำว่า “พึ่งได้” ก็คงจะไม่มากไป

2.ในทางกลับคือ ดาร์วิน นูนเญซ ที่กลายเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ในสายตาแฟนบอล จะได้มีโอกาสได้พักไป ทำความเข้าใจกับตัวเอง และเพิ่มความสด อย่าลืมว่า 11 นัดที่ โชต้า ไม่อยู่ นูนเญซ สตาร์ทมากมายถึง 9 เกม

**********************

4.ตัวเลขกับเกมนี้ที่เกิดขึ้น

ซาลาห์ ยังคงมีส่วนในการถล่มประตูของทีมต่อเนื่อง โดยครั้งนี้เขาแอสซิสต์ให้กับ โคดี้ กั๊กโป้ ขวิดเข้าไป ทำให้เป็นแอสซิสต์ที่ 100 ในการลงสนามให้กับ ลิเวอร์พูล

372 นัด ซาลาห์ ยิงไปได้ 227 ประตู กับอีก 100 แอสซิสต์ แต่ยังไม่ได้ต่อสัญญาอย่างเป็นทางการ(ซะที)

100 แอสซิสต์นั้น เป็นการส่งให้ มาเน่ มากที่สุด 17 ลูก, ฟีร์มิโน่ 14 และ กั๊กโป เป็นลูกที่ 8

ซาลาห์ เป็นอันดับ 2 ของสโมสร โดยอันดับ 1 ยังเป็นยอดกัปตันในตำนาน นั่นคือ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่ทำไว้ 144 ลูก

การกลับมาเสมอได้ถือว่าโอเคแล้ว เพราะที่ผ่านมามีแค่ 2 ครั้งเท่านั้นที่มีทีมกลับมาคว้าชัยได้ หลังจากเหลือนักบอล 10 คนตั้งแต่ 17 นาทีแรก

1.อาร์เซนอล บุกชนะ ดาร์บี้ 3-1 ปี 1997 ตอนนั้น โทนี่ อดัมส์ โดนไล่ออกตั้งแต่นาทีที่ 13

2.เชลซี ชนะ เวสต์แฮม 4-1 ปี 2006 ตอนนั้น มานิช ลิเบโร่ โดนไล่ในนาทีที่ 17

การตีเสมอในเกมนี้ได้ถือว่า แสดงออกถึงบุคลิกบางอย่าง นั่นคือ การไม่ยอมแพ้

ส่วนโลกออนไลน์ที่ “หาแพะ” ก็ปล่อยให้มันเป็นไป

อาทิ ภาพแคปหน้าจอเบางอย่างนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย

มีคนบอกว่า หลุยส์ ดิอาซ​ไม่ส่งให้ ซาลาห์ ในจังหวะท้ายเกม แต่ถ้าคุณดู “บอลเป็น” และดูแบบ “วีดีโอ”คุณจะพบว่ามีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นที่นั่น ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

แทบไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่า ซาลาห์ อยู่ตรงนั้น

ฟุตบอลไม่ใช่เกมง่ายๆ ที่จะหยุดมัน จับภาพหน้าจอแล้วพูดถึงเรื่องต่าง ๆ เพื่อทำร้ายกันไป

แต่เชื่อว่าทุกคนที่ฉลาดพอ จะเข้าใจไม่ตกเป็นเหยื่อ

หรือเชื่อในสิ่งผิด ๆ

#บีแหลมสิงห์

- 006