ปิดฉากลงไปอย่างยิ่งใหญ่และน่าประทับใจสำหรับ “โมโตจีพี” ฉบับไทยแลนด์แดนสยามแลนด์ ออฟ สไมล์ จังหวัดบุรีรัมย์
ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจดจำกับ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา จอมซิ่งสิงห์นักบิดแห่ง “อิเดมิตสึ ฮอนด้า LCR” ที่เป็น“คนไทยคนแรก” ที่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดของวงการมอเตอร์ไซด์โลก ท่ามกลางกระแสผู้ชมมหาศาล ฝ่ายจัดฯนับมาได้กว่าสองแสนคน เงินสะพัด 5,000 ล้านบวกลบ
ในสภาพอากาศที่ร้อนระอุคนไทยได้รับชัยชนะไปพร้อมกัน ทั้งการจัดแข่งขันการให้การตอบรับที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการเป็น “สนามแรก” ของซีซั่นนี้
แต่หลังจากไม่ทันกลิ่นยางกระทบแทรคจะจางหาย ทีมงานยังเดินทางไม่พ้นตัวจังหวัด บรรยากาศก็ร้อนระอุขึ้นมากว่าสภาพอากาศ นั่นประเด็นใหญ่ที่ นายเนวิน ชิดชอบ ในฐานะประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือ “พ่อเมืองตัวจริง” โพสต์ในท่วงทำนองที่ว่า โมโตจีพีปีหน้าจะเป็นปีสุดท้าย
“ขอขอบคุณทุกคนที่มาร่วมกันสร้าง Thai GP ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ปีหน้า พบกันใหม่ ที่ ช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต บุรีรัมย์ มาเชียร์ และ มาลา moto GPด้วยกัน” นี่คือ 3 บรรทัดสุดท้ายของโพสต์เพจลุงเนวิน
ไม่แปลกที่จะ “ตกใจกันทั้งบาง”!!!!!
เรื่องนี้ถูกจับโยงไปหลายประการ โดยเฉพาะ “เรื่องการเมือง” เคาะออกมาได้ 4 ประเด็น
1.สัญญาการจัด โมโตจีพี ฉบับนี้กำลัง จะหมดในปีหน้า หรือ 2026 (พ.ศ.2569)
2.สัญญาณรัฐบาลชุดปัจจุบัน “เหมือนจะ” มุ่งไปที่ “รถสูตรหนึ่ง” หรือ “ฟอร์มูล่า วัน” มากกว่าหรือไม่
3.“อาถรรพ์เขากระโดง” ที่ดินพิพาทบริเวณเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เป็นของการรถไฟฯ หรือ ร.ฟ.ท. หรือเปล่า
4.สัญญาณจากวลีอมตะ “มันจบแล้วครับนาย” จากคุณเนวิน ไปยังคุณทักษิณ ชินวัตร อันโด่งดังตั้งแต่วิกฤตการเมืองปี 2551 ถูกนำมาตีแผ่กันอีกครั้ง
เอาแค่ทฤษฎีสมคบคิด 3-4 อย่างนี้ ก็น่าปวดเฮดแล้ว
เราโตกันพอจะทราบได้ว่า “การเมือง กับ “กีฬา” มันหนีไม่กันออก เพราะว่ากันแล้วผลงานครั้งนี้ของ “ภูมิใจไทย” กับงานนี้ “มันชัด” เพราะมันอาจจะไปกินฐานเสียงโดยรวมของ “เพื่อไทย” หรือไม่นั้นก็คิดกันเอา...
ให้หลังไม่ถึงชั่วโมง ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยให้สัมภาษณ์ทันทีที่สนามแข่ง ใจความว่าสัญญาอยู่ในระหว่างการพูดคุย และรัฐบาลก็อยากให้มีการแข่งขันรายการใหญ่ๆที่ส่งเสริมด้านกีฬาแล้วยังเสริมด้านการท่องเที่ยวได้ด้วย โดย กกท.จะนำสถิติตัวเลขต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้นำเสนอกับ รัฐบาลที่จะเป็นผู้ตัดสินใจต่อไป
เอาเข้าจริง อาจจะมี “แทงกั๊ก” อยู่บ้างแต่ไม่มีประโยคไหนที่บอกว่า จะไม่ต่อสัญญาโมโตจีพี
จากนั้นช่วงเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมานางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บอกว่า ทุกโครงการหากเป็นประโยชน์กับประเทศ กับประชาชนหมู่มาก ก็คงต้องทำต่อแน่นอน เพียงแต่ต้องดูตัวเลขก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง จะได้สนับสนุนงบประมาณถูกต้อง และมองว่า โมโตจีพี เป็นสิ่งที่ “รัฐบาล” กับ “เอกชน” ส่วนใครจะมองเรื่องการเมืองนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ขอมองเรื่องธุรกิจและการเงินเข้าประเทศมากกว่า
ประเด็นนี้ไม่เหมือนกับการ “โยนหิน”นะครับ ผมมองว่า อันนี้คือ “ปาหิน” ขึ้นบนหลังคาบ้าน
ทุกอย่างตั้งอยู่บนคำว่า “นัย” แล้วกำลังมุ่งไปสู่ “ทางแยก” ครั้งสำคัญ อยู่ที่ว่า เหล่าท่านผู้บริหารจะตะบึงคันเร่งไปทางไหน จะซ้อนท้ายกันไป หรือว่าจะยันใครออกมา
ว่ากันตามเชิง ระดับสยามประเทศ มีศักยภาพพอที่จะจัดการแข่งขันพร้อมกันทั้ง 2 รายการ หรือไม่นั้น ไม่ต้องถามเลย เพราะทำได้แน่นอน
เพียงแต่ไม่ต้องเน้นนำคำว่า “เมืองท่องเที่ยว” ให้มากนัก ไม่ต้องให้มานำ เพราะมันมีอะไรที่ยั่งยืนกว่านั้น ดูไม่เลื่อนลอยกว่านี้
ถึงตรงนี้ แม้ว่า วลีอมตะทางการเมืองที่เกิดขึ้นนานเกือบ 20 ปี หลายคนอาจจะเริ่มคิดว่า ทำไมมันดังข้างหูเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนั้น ไม่รู้ว่ามันจะจบตรงไหนอย่างไรซึ่งผมไม่สนหรอกครับ แต่ที่แน่ๆ “กีฬา” ควรจะเป็นอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญ เป็นนโยบายระยะยาว เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของประเทศไม่ใช่เป็นหวังให้เป็นแค่หน้าเป็นตาของนักการเมือง หรือ รัฐบาลในเวลานั้นๆ
หลายประเทศในโลกใช้กีฬาขับเคลื่อน ไม่ได้ให้หน้าให้ตากับใคร หรือแค่ประธานจะจ้องขึ้นสู่ยอดเสาในวันเปิดและปิดการแข่งขัน
หากเข้าใจถึงแก่นแท้ของกีฬานั่นก็คือ การบิดเป็นเจ้าภาพกีฬาต่างๆ จะต้องทำในรัฐบาลชุดปัจจุบัน เพื่อไปจัดในอีกอนาคตอีก 2-3 รัฐบาลข้างหน้า ดังนั้นถ้าไม่อยากให้มัน “ล้มไม่เป็นท่า” ที่เป็นตัวอย่างเมื่อปีที่แล้ว
เรื่องง่ายๆ คิดไม่ได้ก็อย่าทำครับ และแนะนำคนที่อยู่ข้างๆ บรรดาที่ปรึกษาทั้งหลาย ก็ควรให้คำแนะนำที่ดี อย่าคิดแต่รักษาเก้าอี้ เพราะมีหลายเคสเหลือเกิน
ที่ถูกแต่งตั้งให้มาเป็น “กุนซือ”แต่สุดท้ายกลายเป็นแค่ “กุนเชียง”
ท้ายที่่สุดครับ ขอให้ทำทุกอย่างโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศไทย เป็นหลัก ให้คนในบ้านเมืองเราได้ภูมิใจ(ในความเป็น) ไทย และอยากให้ผู้แทนของประชาชนทำทุกอย่างเพื่อ (คน) ไทย
อย่าตัดคำในวงเล็บ () ไปแค่นั้นเอง...
บี แหลมสิงห์