โวยไม่ต่อสัญญาจัด‘โมโตจีพี’
‘เนวิน’ซัดรัฐบาล
สุดเสียดายเงินสะพัด 5 พันล้าน
‘อิ๊งค์’โยนก.ท่องเที่ยวฯ
ศึกษาผลคุ้มค่าต่อสัญญา
“เนวิน” สุดเสียดาย“MotoGP 2026” จะจัดเป็นครั้งสุดท้ายในไทย หากรัฐบาลไม่ต่อสัญญา ระบุการแข่งขันที่เพิ่งจบลงไปในปีนี้ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ได้รับความสนใจจากแฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก สร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจกว่า 5,000 ล้านบาท มีผู้เข้าชมการแข่งขันกว่า 2 แสนคน เตือนสติรัฐบาล เลือก เอฟวัน หรือ โมโตจีพี เปรียบดู เอฟวันเหมือน“หมามองเครื่องบิน” นายกฯ โยนปมต่อสัญญาโมโตจีพีให้ ก.ท่องเที่ยวฯศึกษาตัวเลข ความคุ้มค่า บอกมองเป็นเรื่องการเมืองก็ได้ แต่ขอเน้นเรื่องธุรกิจ-เงิน เข้าประเทศมากน้อยแค่ไหน ด้าน กกท.ลั่นพร้อมต่อสัญญาแต่ขึ้นอยู่กับรัฐบาล
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คเพจ “ลุง เนวิน” ระบุว่า การแข่งขัน MotoGP 2025 (โมโตจีพี 2025) ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ได้รับความสนใจจากแฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก โดยมีผู้เข้าชมมากถึง 224,634 คน ตลอด 3 วัน (28 ก.พ. – 2 มี.ค.) สร้างสถิติใหม่และกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยม รวมถึงเม็ดเงินหมุนเวียน มากกว่า 5,043 ล้านบาท ที่กระจายไปทั่วจังหวัดบุรีรัมย์และพื้นที่ใกล้เคียง
ผม เพิ่งได้รับทราบอย่างเป็นทางการจากการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นข่าวเดียวกันกับที่แฟน moto GP ได้ยินมาก่อนหน้านี้ คือ รัฐบาล จะลงทุนจัดการแข่งขันโมโตจีพี 2026 เป็นปีสุดท้าย และจะไม่ต่อสัญญาจัดการแข่งขัน Moto GP อีกแล้ว ซึ่งต้องยอมรับการพิจารณาตัดสินใจของรัฐบาล
แม้ว่าจะรู้สึกเสียดายอย่างมาก เพราะการจัดการแข่งขัน โมโตจีพี รัฐบาลลงทุน ปีละ ไม่เกิน 500 ล้านบาท และมีภาคเอกชน เข้ามาร่วมสนับสนุนอีกไม่น้อยกว่าปีละ 300 ล้านบาท แต่สร้างเงินทุนหมุนเวียนส่งเสริมธุรกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจ มากกว่า 5,000 ล้านบาท
แต่เมื่อรัฐบาล ตัดสินใจแล้ว สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ในฐานะผู้สนับสนุนรายหนึ่ง ก็ต้องยอมรับ และขอแจ้งให้แฟนโมโตจีพี ชาวไทย ได้ทราบว่า ปีหน้า จะเป็นปีสุดท้ายของ Thai GP หากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ รัฐบาล ไม่ทบทวนการตัดสินใจ และยังคงยืนยันที่จะไม่ต่อสัญญาจัดการแข่งขันโมโตจีพี ในประเทศไทย
นายเนวิน ได้กล่าวว่า ความสำเร็จของโมโตจีพี ที่บุรีรัมย์มันปรากฎให้เห็นแล้วว่าเป็นความยั่งยืน ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับแฟนมอเตอร์สปอร์ต สร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ไทยและบุรีรัมย์แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาใช้เงินหลายพันล้านและยังเป็นสื่อทางอ้อมให้คนรู้จักประเทศไทยเป็นพันล้านคน จากการจัดโมโตจีพีที่บุรีรัมย์
“แต่มาจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาลเลย สัญญาเหลือแค่ปีหน้าปีเดียวแต่ยังไม่มีท่าทีว่าจะเอายังไงกับการแข่งขันโมโตจีพีที่ประสบความสำเร็จ สร้างรายได้เป็นรูปธรรมมาแล้ว แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลพยายามจะไปเสนอจัดฟอร์มูล่าวัน(เอฟวัน)ซึ่งจะจัดที่ไหน จัดอย่างไร ใช้เงินเท่าไหร่ มีตัวเลขที่จะนำไปสู่การสร้างรายได้จริงหรือไม่” ประธานสนามช้างฯ กล่าว
นายเนวิน กล่าวอีกว่า การจัดเวิลด์อีเวนต์เกิดขึ้นได้แต่จัดแล้วมันดีหรือไม่ มันจะต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ ตอนนี้หลายประเทศที่จัดเอฟวันก็เลิกจัดแล้ว เพราะตลาดมันค่อนข้างแคบ แฟนเอฟวันอาจจะเยอะ แต่อารมณ์ร่วมต่างกับแฟนโมโตจีพีเยอะมาก
“โมโตจีพีเป็นรถสองล้อ ทุกคนสัมผัสได้ สามารถเป็นเจ้าของได้ ใกล้ชิดได้ ซึมซับได้ แต่เอฟวันมันเหมือนหมามองเครื่องบิน ดูได้ครั้งเดียวก็พอแล้ว”
นายเนวิน กล่าวอีกว่า การที่รัฐจะลงทุนจัดฟอร์มูล่าวัน สร้างอีเวนต์ระดับโลก เอาไปลงที่กรุงเทพฯ ตนรู้สึกสยองแทนคนจัดการแข่งขัน แทนคนกรุงเทพฯ เพราะจัดจัดที่ไหน ลงทุนเท่าไหร่ กับการแข่งขันรถยนต์ 4 ล้อความเร็วระดับโลก มันมีข้อจำกัดมากมาย สนามจะต้องเป็นอย่างไร คนคุมการแข่งขันเป็นอย่างไร ต้องสร้างอะไรมากแค่ไหน ได้รายได้เท่าไหร่ แล้วมันควรทำจริงๆ หรือไม่ แต่โมโตจีพี ที่ทำกันมา มันประสบความสำเร็จ มีความยั่งยืนแล้ว แต่จะปล่อยให้หมดสัญญาซึ่งดอร์น่าสปอร์ตส์ ก็มาถามทางบุรีรัมย์ว่าจะเอายังไง ผมก็ตอบไม่ได้ เพราะผมไม่ใช่รัฐบาล เป็นแค่คนบุรีรัมย์ ที่พร้อมรองรับและให้การสนับสนุนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและจัดอีเวนต์ที่ดีที่สุดในโลกให้กับประเทศนี้ สร้างรายได้ให้กับคนไทยและประเทศไทย
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 9/2568 โดยก่อนการประชุม ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงกรณีนายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดระบุว่าการจัดแข่งขันโมโตจีพี ปี2026 จะเป็นปีสุดท้าย เนื่องจากการกีฬาแห่งประเทศไทย(กกท.)และรัฐบาลจะไม่สนับสนุนงบประมาณในการต่อสัญญานายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวมีรายละเอียดเพิ่มเติม
ต่อมา เวลา 10.05 น. น.ส.แพทองธาร แถลงภายหลังการประชุม ครม. ถึงกรณีการจัดแข่งขันโมโตจีพี ที่จะหมดสัญญาลงในปีหน้ารัฐบาลจะต่อสัญญาหรือไม่ ว่า เดี๋ยวจะให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งยังมีโอกาส เดี๋ยวลองคุยกันอีกทีว่าจะยังไง ซึ่งตนจะให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มาเสนอเรื่องของตัวเลขให้ดูว่าข้างในเป็นอย่างไร และได้ผลอะไรยังไงกับประเทศบ้าง ทุกโครงการถ้าเป็นประโยชน์กับประเทศ กับประชาชนหมู่มาก ก็คงต้องทำต่อแน่นอน แต่ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์หรือขาดทุนเรื่องตัวเลขต้องมาดูกันต่อว่าเป็นอย่างไรบ้างจะได้สนับสนุนงบประมาณถูก
เมื่อถามว่า มีการมองเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองเพราะสนามแข่งเป็นของ นายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และในฐานะแกนนำพรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายกฯกล่าวว่า แต่ว่าเงินถ้าจะเข้าก็เข้าไปที่จังหวัดและเข้าประเทศใช่หรือไม่ ถึงใครจะเป็นเจ้าของก็อีกเรื่องหนึ่ง เป็นธุรกิจของเขาในเรื่องของเจ้าของ แต่ว่าประเทศได้อะไรบ้าง อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องนับ แต่บางทีเอกชนและภาครัฐต้องไปด้วยกันแบบนี้ ซึ่งต้องขอดูในรายละเอียดและความสมเหตุสมผลจะมองว่าเป็นการเมืองก็ได้ แต่ตนขอมองในเรื่องของธุรกิจเรื่องของเงินแล้วกันว่าจะเข้าประเทศมากน้อยแค่ไหน ขอตัดสินแบบนั้น
ทางด้าน ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยถึงกรณีมีกระแสข่าวออกมาว่า กกท. จะไม่ต่อสัญญาการเป็นเจ้าภาพโมโตจีพี ที่จะหมดในปี 2026 ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด จากการให้สัมภาษณ์ในงานโมโตจีพีวันสุดท้าย ตนได้ตอบสื่อมวลชนไปว่า ตอนนี้อยู่ในระหว่างการพูดคุย ซึ่งทางดอร์น่าเองก็ชื่นชมประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพว่าทำได้อย่างดีมาก ๆ เป็นหนึ่งในสนามที่ดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ส่วนทางรัฐบาลก็อยากให้มีการแข่งขันรายการใหญ่ ๆ ที่ส่งเสริมด้านกีฬาแล้วยังเสริมด้านการท่องเที่ยวได้ด้วย ทาง กกท. ก็จะนำสถิติตัวเลขต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้นำเสนอกับทางรัฐบาลที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ ต่อไป ซึ่งในการให้สัมภาษณ์ไม่มีประโยคไหนที่บอกว่าจะไม่ต่อสัญญาโมโตจีพี แต่อย่างใด
“โมโตจีพีในปีนี้ เป็นปีที่ทุบสถิติในแทบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงเป็นประวัติการณ์เกินกว่า 5,000 ล้าน จำนวนผู้ชมที่สูงขึ้นเกือบ 7% การสร้างงานที่สูงขึ้น 12% และโดยเฉพาะการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 52,000 กว่าคน ที่สูงขึ้นประมาณ 38% สูงที่สุดตั้งแต่เริ่มจัดงานมา” ดร.ก้องศักด กล่าว
ผู้ว่าการ กกท. กล่าวต่อว่า จากการประเมินผลการจัดงานภาพรวมในเบื้องต้นไม่ว่าจะเป็นด้านมูลค่าทางเศรษฐกิจ, การจ้างงานและจำนวนผู้ชมที่สูงขึ้น รวมทั้งการชื่นชมการจัดการแข่งขันจากดอร์น่าเองก็ตาม แน่นอนว่าการแข่งขันการเป็นเจ้าภาพสูงขึ้น หลายประเทศก็จ่อคิวรออยู่ ถ้าไทยไม่ตัดสินใจ ก็มีหลายประเทศรออยู่ ซึ่งทุกอย่างต้องชัดเจนก่อน 1 ปี เพราะดอร์น่าจะต้องจัดการเรื่องสนามให้ลงตัว ถ้าไทยไม่เป็นเจ้าภาพต่อดอร์น่าก็จะต้องไปคุยกับประเทศอื่น ๆ แทน ซึ่งในเชิงปฏิบัติ กกท. เราพร้อมอยู่แล้ว ทั้งจากคำชมและมูลค่าทางเศรษฐกิจต่าง ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องนำเสนอให้ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจพิจารณาอีกที
“ในการเจรจาเราได้มีการพูดคุยกับดอร์น่าว่าเราก็มีสนใจรายการอื่น ๆ อย่างเช่นรถยนต์สูตร1 (เอฟวัน) อยู่ ดังนั้นเราตอบไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะต่อสัญญาหรือไม่ ต้องมีการพูดคุยเชิงนโยบายอยู่ แต่สำหรับโมโตจีพีเราได้เห็นนักบิดไทยอย่าง ก้อง-สมเกียรติ จันทรา ลงแข่งขัน ซึ่งก็อาจจะมีคนที่ 2-3-4 ตามมาได้ถ้ายังได้เป็นเจ้าภาพต่อไป ถ้าจะจัดทั้งสองรายการ ในแง่งบประมาณก็ต้องให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด รัฐบาลเองก็ให้ความสำคัญประเด็นนี้ ไม่อยากให้รัฐเป็นผู้ลงทุนฝ่ายเดียว อยากให้เอกชนมีบทบาทมากขึ้น” นายก้องศักด กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าได้ทำสัญญากับเอฟวันเท่ากับจะไม่ต่อสัญญาโมโตจีพีหรือไม่ ผู้ว่าการ กกท. ได้กล่าวว่า อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะต้องเอาข้อมูลไปนำเสนอ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ เพราะตัวเลขมันดีขึ้น ดีกว่าก่อนยุคโควิดด้วย ซึ่งตัวเลขเหล่านี้จะเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเชิงนโยบาย และขอย้ำอีกครั้งว่า ในการสัมภาษณ์เรื่องนี้ ไม่มีประโยคไหนที่บอกว่าจะไม่ต่อสัญญาโมโตจีพี แต่อย่างใด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี